นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกับ Crybaby อาร์ตทอยคาแรกเตอร์น่ารัก เด็กผู้หญิงผมสั้นผู้มีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา สัญลักษณ์ของความเสียใจและความสุข ผลงานการสร้างสรรค์ของ ‘Crybaby Molly’ หรือ ‘มด-นิสา ศรีคำดี’ ศิลปินไทยคนแรกที่ได้ร่วมงานกับ Pop Mart จนสร้างปรากฏการณ์มาแล้วทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะในไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน หรือจีน ต่างพากันเข้าคิวจับจองกันถ้วนหน้า
แต่กว่าจะมาเป็นน้อง Crybaby ผู้โด่งดัง มด-นิสา ศรีคำดี ต้องผ่านอะไรมามากมาย เพื่อพิสูจน์ว่าศิลปะคือสิ่งที่เธอรัก ผูกพัน และแยกจากกันไม่ได้
Passion Calling ครั้งนี้เราจึงพาคุณมารู้จักกับตัวตนของ Crybaby Molly หรือ ‘มด-นิสา ศรีคำดี’ ทั้งเรื่องราวในวัยเด็ก จุดเริ่มต้น และพลังงานของความรักในงานศิลปะที่ทำให้เธอประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้
ทำอะไรมาบ้างก่อนมาทำ Crybaby
จริงๆ เราทำงานศิลปะมาตลอด ตอนเด็กๆ ก็ทำพวกจ็อบเสริมบ้าง รับทำโน่นทำนี่ ทำมาหมดทุกอย่างแล้ว หลักๆ ก่อนมาเริ่มทำ Crybaby เลยคือเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ทำออร์แกไนเซอร์กับเพื่อน
สนใจงานศิลปะได้อย่างไร
ตั้งแต่จำความได้มดเป็นคนชอบวาดรูปมาตลอด คุณแม่เล่าให้ฟังเสมอว่าตอนเด็กๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะหิ้วถุงพลาสติกที่ข้างในมีพวกดินสอสี กรรไกร ไปด้วยทุกที่ บางทีก็วาดรูปทำตุ๊กตากระดาษเอง เป็นคนชอบงานประดิษฐ์ ชอบการวาดรูปอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเด็กๆ
อะไรเป็นตัวจุดประกายให้เราทำ Crybaby
ตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย มดเป็นคนชอบวาดคาแรกเตอร์ที่เกี่ยวกับน้ำตาอยู่แล้ว เราไปเจอเรื่องอะไรที่อ่อนไหวหรือสะเทือนใจ หรือเป็นเรื่องของคนรอบตัว เราก็จะเอามาวาด เหมือนกึ่งๆ ไดอารี สมัยก่อนยังไม่เป็น Crybaby ซะทีเดียว จะเป็น Rabbit Cry กระต่ายร้องไห้ แต่ว่าลักษณะน้ำตาเม็ดใหญ่ก็คือเหมือนเดิม พอเราโตขึ้น เราทำงานหลากหลายมากขึ้น เราก็เลยหลงลืม ไม่ค่อยได้ทำเท่าไร
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ในช่วงที่รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต งานรื่นเริงทุกอย่างถูกแคนเซิลหมด เราเลยมีเวลาว่างอยู่กับตัวเอง วันนั้นเราตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าทำไมเราไม่ทำอะไรที่เรามีแพสชันกับมันล่ะ เหมือนเราดีดนิ้วเลย เช้าวันนั้นก็เลย ลุกจากเตียงแล้วทำ Crybaby ขึ้นมาเลย จำได้ว่าตอนนั้นเราไม่ได้สเกตช์ดินสอด้วยซ้ำ เหมือนอะไรแบบนี้อยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เราลงมือปั้นมันขึ้นมาเลย เป็นความบ้าคลั่ง ไม่สามารถหยุดได้ ตื่นมาทำตั้งแต่เช้าจนถึงตี 2-3 ปั้นทำทิ้งทำใหม่วนอยู่แบบนั้นทุกวัน 2 เดือนเต็มๆ จนออกมาเป็น Crybaby ที่เห็นกันอยู่ปัจจุบัน
ทำไมถึงเป็นหยดน้ำตา
เป็นคนที่ชอบหยดน้ำตาอยู่แล้วค่ะ ตั้งแต่เด็กๆ คุณแม่ดุมาก เราจะโดนตีตลอด พอเราร้องไห้ผู้ใหญ่ก็จะบอกให้เราหยุด เราก็รู้สึกว่า ‘ทำไม’ ถึงร้องไม่ได้ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกวัยเด็ก แต่พอเราโตขึ้น ความรู้สึกของเราซับซ้อนกว่านั้น เราไม่ได้ร้องไห้เพราะโดนแม่ตีแล้ว แต่ร้องเพราะเราเจ็บ รู้สึกกดดัน หรือรู้สึกอึดอัดข้างใน แต่ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งกลัวที่จะร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น เหมือนมีกรอบสังคมสร้างไว้ว่าห้ามแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เราเลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันติดอยู่ในใจ ทำให้เราชอบที่จะวาดรูปคาแรกเตอร์ที่มีน้ำตาเม็ดใหญ่ เหมือนสร้างมันให้ร้องไห้แทนเรา
มดเป็นคนหนึ่งที่ติดอยู่ในกรอบนี้เหมือนกัน จนถึงวันที่เราทำ Crybaby ขึ้นมา กึ่งๆ ตะโกนบอกตัวเองเหมือนกันว่าบางครั้งไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา เราอ่อนแอบ้างก็ได้ เราระบายมันออกมาบ้างก็ได้ น้ำตาคือสัญลักษณ์ที่แทนว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เรายังเจ็บเป็น เศร้าเป็น รู้สึกอยู่ แปลว่าเรายังไม่ตาย ยังรู้สึกอยู่
Crybaby เปลี่ยนแปลงอะไรเราบ้าง
เรื่องแรกคือ ‘ช่วยเติมเต็ม’ พอเราเจอแพสชันของเราที่เคยลืมไป มันเหมือนส่วนหนึ่งของเรา เราหาเจอแล้ว อย่างที่บอกว่าตั้งแต่เด็กมดมีความฝัน เราอยากเป็นทอยดีไซเนอร์ อยากเป็นนักออกแบบของเล่น ตอนนั้นไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเขาทำงานกันยังไง แต่แล้วถึงวันหนึ่งความฝันเล็กๆ ของเรา แพสชันที่เรามีก็ประสบความสำเร็จ เลยเหมือนช่องว่างที่เคยขาดหายไปเราเจอมันแล้ว
ตอนปล่อยผลงานวันแรกแล้วมีคนชอบรู้สึกอย่างไรบ้าง
เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีกลุ่มคนที่ชื่นชอบหรือสะสมตัวอาร์ตทอยที่เราทำ จำได้ว่าจากที่เราอยู่นิ่งๆ มาตลอด วันนั้นเป็นวันที่เราได้รับข้อความแบบไอจีแตก แล้วรู้สึกแบบ เฮ้ย! มีคนที่ชื่นชอบผลงานของเราจริงๆ เหรอ
ต้องเข้าใจก่อนว่าอาร์ตทอยเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มาก เราทำมันด้วยมือ ดูเป็นของชิ้นเล็กๆ สำหรับเรา ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรเยอะ จนกระทั่งมีคนให้ความสนใจ เลยรู้ว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ความชอบของเราที่เป็นเรื่องเล็กๆ มันมีคนรักมันไปกับเราด้วย
“น้ำตาคือสัญลักษณ์ที่แทนว่าเรายังมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เรายังเจ็บเป็น เศร้าเป็น รู้สึกอยู่ แปลว่าเรายังไม่ตาย ยังรู้สึกอยู่”
ครอบครัวกับแรงสนับสนุน
เราอยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างดุและหัวโบราณมาก ตอนแรกโดนตีทุกวันจนต้องล้มเลิก เพราะว่าเจ็บ ร่างกายเริ่มทนไม่ไหว เขาไม่เข้าใจว่าเรียนศิลปะจบมาแล้วทำอะไร ความคิดของเขาคือการเป็นศิลปินไส้แห้ง แล้วเราก็เด็กมาก ไม่ได้มีครูแนะนำ เราก็ไม่สามารถอธิบายให้เขาเข้าใจได้ว่าเรียนออกมาแล้วทำอะไร พอไม่เข้าใจกันทั้งคู่ สุดท้ายก็ล้มเลิกไป แต่ว่าเราก็ยังคงชอบทำงานศิลปะอยู่นะ ยังคงทำอะไรไปแจกเพื่อนอยู่ หรือหาโอกาสฝึกงานศิลปะใหม่ๆ แต่สุดท้ายก่อนไปเข้ามหาวิทยาลัย เขาเริ่มมีความรู้สึกว่าลองดูสิ ลองไปเรียนละกัน
จริงๆ ตอนที่ตัดสินใจลองขายอาร์ตทอยตัวแรกเราคุยกับแม่ว่ายังไงดี แล้วแม่บอกว่าอยากทำมดทำเลย ประโยคนี้เหมือนช่วยสตาร์ทเราเลยนะ จากคนที่เคยตีเรา บอกว่าห้ามเรียนศิลปะ กลายเป็นคนที่บอกว่าอยากทำ ทำเลย กลายเป็นหนึ่งแรงผลักให้เราทำ Crybaby ด้วยเหมือนกัน
ทุกวันนี้ Crybaby เปรียบเสมือนอะไรในชีวิตเรา
Crybaby เป็นส่วนหนึ่งของเรา ตอนที่เราเริ่มทำ Crybaby ครั้งแรก เราไม่เคยสเกตช์ดินสอออกมาด้วยซ้ำ เราสร้างมันขึ้นมาจากอินเนอร์ของเรา Crybaby จริงๆ คือพูดถึงเรื่องอารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้เป็นรูปธรรมด้วยซ้ำ Crybaby เป็นนามธรรม ไม่มีเพศ ไม่มีคำจำกัดความใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช้คนซ้ำ เหมือนเป็นตัวแทนที่ร้องไห้แทนคนทุกคน หรือร้องเป็นเพื่อนกัน หรือร้องไห้เพื่อปลอบใจกันและกัน เป็นอย่างนั้นมากกว่า
คิดว่าการทำงานด้วยแพสชันสำคัญกับเรามากน้อยขนาดไหน
อย่างที่บอกว่าเราหลงใหลในงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก นึกภาพตัวเองทำอย่างอื่นไม่ออกเลย เพราะฉะนั้นแพสชันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด อย่างก่อนหน้านี้เราอาจพูดได้ว่าเรามีแพสชันหลงใหลเรื่องงานประดิษฐ์ งานทอยมากๆ เพียงแต่ว่ายังไม่รู้ว่าจะเอามาหาเลี้ยงชีพยังไง ก่อนหน้านี้มดก็เป็นกราฟิกดีไซเนอร์ ยังคงเกี่ยวกับงานศิลปะอยู่ แต่ส่วนเราที่คลั่งไคล้มากๆ อย่างของเล่น เราโชคดีมากที่เราได้มีโอกาสทำมันตอนหลัง
อยากบอกคนที่กล้าๆ กลัวๆ หรือคนที่ยังไม่กล้าทำความฝัน
ทำไปเลยค่ะ ก่อนที่มดจะมาทำ Crybaby หรือที่คนเห็นว่าประสบความสำเร็จ เราล้มเหลวมาแล้วในชีวิต เราทำมาหมดแล้ว เช่นขายของตามตลาดนัดเราก็เคยไปทำ ดังนั้นสำหรับเรารู้สึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือถ้ามันได้ลงมือทำ มันแปลว่าเราเขยิบเข้าไปใกล้ความฝันของเรามากขึ้น
ถ้าวันนั้นสถานการณ์ไม่ได้บังคับเราเรื่องงานอีเวนต์ ยังคิดว่าวันนี้จะยังมี Crybaby ไหม
อย่างไรก็ต้องมี เราเป็นคนเชื่ออย่างหนึ่งว่าชีวิตเหมือนการต่อจุดที่ละก้าว สุดท้ายแล้วถ้าเราไม่ลืมจริงๆ ว่าแพสชันของเราคืออะไร ชีวิตเราจะช่วยขยับเราไปเรื่อยๆ ไปจนถึงจุดที่เราพร้อม ถึงต่อให้เราไม่ได้มีเวลาว่างในตอนนั้น สุดท้ายแล้วจุดนั้นก็ต้องมาถึง ในวันหนึ่งเราก็ยังต้องทำ Crybaby อยู่ดี