ครั้งแรกที่เราเห็น นท พนายางกูร บนจอทีวีคือสมัยที่เธอหิ้วอูคูเลเล่คู่ใจไปออดิชันในรายการ The Star 7 จากความสดใสน่ารักที่เป็นตัวเอง ผสานกับความสามารถทางดนตรีและการร้องเพลง ทำให้เธอคว้ารองชนะเลิศมาได้ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงไทยที่หล่อหลอมประสบการณ์ทั้งดีร้ายให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
เมื่อเวลาผ่านไป แพสชันในชีวิตของเธอได้ผ่านไปค้นพบกับสเตจใหม่ๆ ของตัวเองไปเรื่อยๆ และหนึ่งในสิ่งที่เธอได้ค้นเจอนอกเหนือจากความรักด้านดนตรีแล้ว เธอยังค้นพบความรักที่มีให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ ทำให้นั่นเป็นที่มาให้ THE STANDARD LIFE ชวน นท พนายางกูร มาพูดคุยถึงแพสชันที่ใหญ่ขึ้นของเธอ และนี่คือ Passion Calling กับ นท พนายางกูร ผู้หญิงที่เชื่อว่าสามารถเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ด้วยการลงมือทำ
สิ่งที่นททำอยู่ในตอนนี้มีอะไรบ้าง
ตอนนี้ทำอยู่หลายอย่างมากค่ะ หลักๆ ก็จะมีด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีองค์กรชื่อว่า High On Your Own Supply ซึ่งหลักๆ เราทำอยู่ที่เกาะเต่า ทำกับเด็กๆ ค่ะ ตอนนี้เรามีเด็กที่ทำด้วยประมาณ 30 คน เป็นเด็กท้องถิ่น โดยเราจะสอนน้องๆ เรื่องสิ่งแวดล้อมโดยใช้ศิลปะ อะไรที่มันสนุกๆ เป็นตัวขับเคลื่อน แล้วเราก็จะมีโปรเจกต์สนุกๆ กันเต็มไปหมดเลย อีกด้านหนึ่งจะเป็นทางด้านแบรนด์ นทมีแบรนด์ที่เพิ่งทำชื่อว่า โนเท็ป (Notep Store) ซึ่งเราสร้างแบรนด์นี้มาเพราะว่าอยากจะ Raise Awareness เรื่องการบริโภคให้มีสติมากขึ้น Conscious Consumption นทก็เลยคิดว่าทำยังไงให้สนุกและเข้าถึงได้ง่ายที่สุด เราเลยสร้างมันออกมาเป็นโปรดักต์ต่างๆ ที่เป็น Upcycle, Recycle หรือว่า Natural เพื่อที่จะได้ให้คนเห็นว่าการที่เราใช้โปรดักต์เหล่านี้มันดีต่อตัวเขามากกว่า ดีต่อสังคมและดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ก่อนหน้านี้อาจจะคุ้นชินกับการที่เห็นนทในทีวี เป็นนักร้อง หรือว่าอาจจะเห็นทำนู่นทำนี่หลายอย่าง แต่ว่าทุกๆ อย่างนั้นหล่อหลอมเรามาเป็นเราในทุกวันนี้ได้ อย่างเมื่อก่อนนทเป็นนักร้องอยู่ใต้สังกัด The Star ตอนนั้นเราเองยังเด็ก ก็รู้สึกว่ายังไม่เต็มที่ เรายังอยากทำอะไรอีกเยอะเลย พอหมดสัญญานทก็เลยทำวงชื่อว่า X0809 กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทำเองทุกอย่าง โปรดิวซ์เอง คือไม่มีค่ายอะไรเลย และก็ได้ไปทัวร์ในเอเชียหลายๆ ที่เลย สนุกมาก มีความสุขมาก แต่พอถึงจุดหนึ่งเมื่อเราไม่มีค่าย เราทำเองทุกอย่าง เป็นพีอาร์ เป็นมาร์เก็ตติ้ง เป็นโปรดิวเซอร์ เป็น Sound Engineer มันเยอะเกินไปเลยทำให้ Burnout ตอนนั้นเลยเหมือนหยุดทำไปแป๊บหนึ่ง รวมกับเพื่อนร่วมวงไปเรียนต่อด้วย ตอนนั้น Lost เลยรู้สึกว่าเราต้องหาอะไรสักอย่างให้เรากลับมาโอเค
ในช่วงเวลาที่รู้สึก Lost ดึงตัวเองกลับมาด้วยวิธีไหน?
ตอนนั้นเริ่มกลับมาทำงานศิลปะ เพราะว่าจริงๆ แล้ว Art and Music มันเป็น Two Core Value ของเราตั้งแต่เด็ก เราทิ้งมันไปตอนที่เราทำ Music มากๆ เราก็เลยกลับมาหา Art อีกรอบ พอได้ทำเรื่อง Art เราก็อยากจะทำ Topic เกี่ยวกับ Healing เพราะเราต้องการหนึ่งคือฮีลตัวเอง แล้วก็อยากฮีลคนรอบข้างด้วย เลยเริ่มรีเสิร์ชพวก Energy Work ต่างๆ Crystal, Reiki, Sound Healing ตอนนั้นคือไปเรียน Sound Healing ที่เนปาลเลย แล้วก็ไปรีเสิร์ช ไป Spiritual Journey ที่นั่น จนกระทั่งพอถึงจุดหนึ่งที่เราไปจนอิ่มตัวแล้ว
ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าเราพร้อมสำหรับอะไรที่มันใหญ่กว่านี้ เลยเริ่มมาทำเรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะรู้สึกว่าพอเราเข้าใจตัวเอง เราเข้าใจว่าเราคืออะไร เราจะเข้าใจว่าเราคือธรรมชาติ แล้วทำไมเราถึงต้องดูแลธรรมชาติ เลยรู้สึกว่าเราอยากใช้สื่อ เราอยากใช้เสียงที่เรามีในการสะสมต่างๆ ที่ผ่านมา มาพูดในสิ่งที่มันมีความหมายกว่า แค่พูดเรื่องตัวเอง หรือว่ามาขายของอะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเราอยากพูดเรื่องที่มันสำคัญ มันก็คือเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสมาธิ เรื่อง Wellness อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยมาถึงปัจจุบันนี้ได้
จากวันนั้นถึงวันนี้คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากแค่ไหน?
โอ้โห เปลี่ยนมากเลยนะ นทว่าเปลี่ยนมากๆ แต่ยังมี Core เดิม คือนทคนนี้ก็ยังเป็นเหมือนนทคนนั้น ตอนนั้น แต่แค่ยังไม่ได้ออกมาขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่ายังเด็กอยู่ อาจจะด้วยหน้าที่การงานที่จะต้องเป็นไปตามที่บริษัทต้องการ มันก็เลยยังไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้ 100% แต่นทเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมัน การที่เราสะสมประสบการณ์หรือว่าได้เจอเรื่องต่างๆ มาในการทำงานในวงการ มันก็หล่อหลอมให้เราเข้าใจโลก เข้าใจตัวเอง เข้าใจว่าเราต้องการอะไรและไม่ต้องการอะไรมากขึ้น
ย้อนกลับไปตอนที่ประกวด The Star 7 ใช่แพสชันแรกในชีวิตหรือเปล่า?
นทว่าไม่ใช่ นทว่าแพสชันแรกน่าจะเป็นช่วงที่เริ่มฟอร์มวงแจ๊สที่เชียงใหม่ ตั้งแต่อายุ 13-14 ปีเลย มีวงกับเพื่อนๆ แล้วไปเล่นที่ North Gate ที่เชียงใหม่ นทว่านั่นเป็นแพสชันแรกที่เอาเราออกจาก Comfort Zone เพราะว่าตอนเด็กๆ จะไม่ค่อยกล้าร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ เราแค่ชอบร้องเพลงต่อหน้าครอบครัว ต่อหน้าเพื่อนๆ หรือในห้องน้ำ การที่เราได้ไปแสดงใน Public Space ในที่ที่วง Professional เขาได้เล่นกัน ณ ตอนนั้นสำหรับเรามันเป็นการออกนอก Comfort Zone แล้วเป็นแพสชันแรกเลย
ถ้าเกิดว่าให้พูดตามตรงเลยคือช่วงแรกๆ ที่ได้เข้ามาลองชิมลางในการเป็นนักร้องอาชีพ ช่วงนั้นนทถือว่าค่อนข้างยากสำหรับตัวเองมาก เพราะว่าเราโตมาในแบบครอบครัวหรือสังคมที่ค่อนข้างเปิดกว้างให้เราเป็นตัวของตัวเอง ให้เราตัดสินใจทุกๆ อย่างเอง พอเรามาทำงานในค่ายก็เลยทำตามเขา เลยขัดแย้งกับตัวเองข้างใน รู้สึกว่าเป็นตัวเองไม่ได้ 100% แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลเราเข้าใจว่ามันคือ Process มันคือการทำงานกับคนในวงใหญ่ เราไม่สามารถเอาตัวเองเป็นตัวหลักได้ มันยังมีคนอื่นที่ต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้ และเราต้องทำกับเขาให้มันออกมาเป็นผลงานที่ค่ายต้องการ
ตอนไหนที่เริ่มรู้สึกว่าอึดอัดกับสิ่งที่ตัวเองต้องเป็นในวงการบันเทิง
จริงๆ ก็รู้สึกอึดอัดตั้งแต่แรกเลย แต่ว่าเราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้มากขึ้น แล้วก็เรียนรู้ว่าเราจะออกมายังไง พอสัญญาหมด เราก็ Explore ออกมาเป็นตัวของตัวเอง เป็น X0809 ตอนนั้นก็บ้าคลั่งอยู่ แบบแต่งตัวแปลกๆ ทำเพลงแปลกๆ อะไรประมาณนี้ (หัวเราะ) หลังจาก Burnout จากตอนทำวง X0809 ก็กลับไปอยู่บ้าน เพราะว่ารู้สึกช่วงเวลาที่ผ่านมาเดินทางเยอะมากเลย ไม่ได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว รู้สึกว่า It’s time to finally go back home อยู่กับยาย อยู่กับแม่ อยู่กับสุนัข เราก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วความสุขมันแค่นี้เอง
เราเหมือน Reset Value ในชีวิตตัวเองใหม่ค่ะ เมื่อก่อนอาจจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง สิ่งต่างๆ ที่เรายังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรแต่อยากได้จัง แต่พอเรามา Set Core Value ของเราใหม่ว่าจริงๆ สิ่งที่มันสำคัญคือครอบครัว คือตัวเอง คือสุขภาพ สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต สิ่งนี้มันสำคัญที่สุดต่างหาก มัน Shift ทุกอย่าง วิธีการมองโลก วิธีการรีแอ็กกับทุกอย่างไปเลย การที่เรามารู้เรื่อง Wellness เรื่อง Meditation อะไรอย่างนี้มันเปลี่ยนทุกอย่างไปหมดเลย
ความสนใจด้านการสร้างแบรนด์ Notep เกิดขึ้นตอนไหน?
หลังจากที่ทำเรื่อง Art and Wellness นทก็ไปทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่า Ready for Something Bigger พอทำเรื่องสิ่งแวดล้อมไปสักพักหนึ่งก็เห็นว่าเทรนด์ในเมืองไทยเรื่องการช้อปปิ้งออนไลน์ การซื้อของ การบริโภคของมันน่ากลัวเหมือนกันนะ ก็เลยรู้สึกว่า How can I be part of this? แต่ว่าทำให้มันสามารถเปลี่ยนไปในมุมมองที่เราอยากให้มันเป็นได้ เราก็เลยรู้สึกว่าโอเค เราสร้างแบรนด์ดีกว่า เราสร้างแบรนด์เราไม่ได้อยากขายของ ไม่ได้อยากหารายได้เพิ่มหรอก อันนั้นเป็นผลพลอยได้ แต่เราอยากที่จะมี Alternative Product อยากที่จะมี Alternative Optionให้กับผู้บริโภคว่าคุณสามารถที่จะดูเก๋ ดูสวย ใช้ของต่างๆ นี้ได้ แต่คุณสามารถ Contribute ให้กับโลก ให้กับสังคม ให้กับชุมชน ให้กับตัวเองได้ด้วยนะ
เกี่ยวกับชื่อแบรนด์ Notep
ชื่อแบรนด์จริงๆ เป็น Artist Name ของนทเอง คือ โนเท็ป (Notep) ก็เป็น Notep Store เป็น Store ของนท โดยจะขายของที่เรารู้สึกว่าอยากแชร์ เราใช้เองแล้วเราชอบ แล้วเราอยากจะแชร์ให้กับทุกคน
การทำแบรนด์ Notep เรียกว่าเป็นอาชีพที่สองหรือไม่?
จริงๆ ไม่อยากเรียกว่าเป็น Second Job เพราะว่ามันเป็น Third, Fourth, Fifth ทำหลายสิ่งมาก จริงๆ ก็ยังเล่าให้ฟังไม่จบเลยว่าจริงๆ ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง คือยังมีอีกหลายๆ ด้านที่ยังไม่แตะ แต่เดี๋ยวค่อยๆ ไปแตะค่ะ อย่าง Notep Store เราจะเน้นแค่การผลิต Upcycling, Recycling หรือ Natural เท่านั้น โดยที่เรามี Motto ว่าเราอยากจะลดขยะและสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย คือเราอยากให้มัน Sustainable และ Actical ที่สุด
นทว่ามันก็มีความยากนะคะ ด้วยความที่เราทำงานศิลปะ ทำงานแนวอาร์ตมาตลอด เราไม่เคยต้องมาทำงานแนว Business มันก็จะมีเรื่องของ Stock, Inventory, Accounting ที่เราแบบอิหยังวะ (หัวเราะ) แต่ก็มีเพื่อนๆ หรือครอบครัวพอให้คำแนะนำได้อยู่ค่ะ ค่อยๆ เรียนรู้ไป นทเชื่อว่า Slow But Steady Wins The Race
สิ่งที่นททำมันเติมอะไรกลับคืนสู่ชีวิตของนทบ้าง?
มันเติมเต็มมากเลย เรามีความสุขมากเลยกับการที่ได้ครีเอตโปรดักต์ต่างๆ กางเกง เสื้อ แอ็กเซสซอรี เรามีความสุขที่ได้นำ Release Creativity ของเรามาทำเป็นของที่มันจับต้องได้และใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ได้แชร์น้ำมันที่เราใช้เองจริงๆ อยู่แล้ว และมันดี ไม่เป็นพิษต่อปะการัง ให้กับคนอื่นได้ใช้เหมือนกัน เป็นความสุขที่ดีมาก
สิ่งที่นทคาดหวังเอาไว้คืออะไรบ้าง?
เรามี Expectation ที่เราคาดคิดเอาไว้ ที่เป็น Best Outcome ถามว่ามันถึงไหม มันอาจจะไม่ได้ถึงอย่างนั้นแต่ว่ามันดีไปอีกแบบ นทเชื่อมาตลอดอยู่แล้วว่าทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ Sold Out ภายใน 10 วันแรกเหมือนที่เราฝันเอาไว้ แต่ว่ามันก็มีทางของมัน แล้วตอนนี้ก็ได้ไปขายตามที่ต่างๆ ที่เราไม่คิดว่าเราจะได้ไปขาย เป็นความฝันมากๆ เป็นแบบ Life Goals Archive
อย่างล่าสุดสต๊อกล็อตสุดท้ายของ ‘บูรณะ’ คอลเล็กชัน จะได้ไปขายที่บาหลี ที่ Potato Head Club in Bali ซึ่งเป็นองค์กรที่นท Look up to มากๆ เพราะว่าเขาทำเรื่อง Sustainability ได้แบบสุดยอดมาก เขาสามารถ Manage Waste ของตัวเองได้ เขาเป็นทั้งบีชคลับ เป็นทั้งโรงแรม เป็นทั้งร้านอาหาร เป็นทั้ง Recording Studio เป็นเยอะแยะมากมาย ซึ่งเขาสามารถ Manage Waste เขาได้ให้ไป Landfill (ฝังกลบ) แค่ 5% เท่านั้น ถ้าเกิดเป็นองค์กรใหญ่ๆ ส่วนมากจะส่ง Waste ไปมากกว่า 50% ซึ่งสิ่งที่เขาทำมันไม่ได้มีแค่ Sustainability แต่มีทั้ง Wellness, Music, Art, Design มันคือทุกๆ อย่างที่เรา Value
Head of Wellness ของเขา DM มาหาว่าอยากร่วมงานด้วย ก็เลยได้ไป Host Meditation Session แล้วก็ไปเวิร์กช็อปทำสร้อยคอ Recycling จากขยะด้วย แล้วก็ได้ไปทำ DJ ล่าสุดก็กลับไป Wellness Retreat ของเขาอีก เลยค่อนข้างสร้าง Relationship ที่ดีกับทีมค่ะ
จากแพสชันสู่แอ็กชัน จนเกิดเป็นแอ็กเซสซอรีของแบรนด์ Notep มีจุดเด่นอะไรบ้าง?
อย่างอันนี้เป็นสร้อยคอที่ทำมาจากลูกปัดที่มาจากขยะพลาสติกพวกฝาขวดหรือว่าแพ็กเกจจิ้งอาหาร ซึ่งนทจะพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ที่สุด แต่ถ้าเกิดมี นทจะล้างแล้วส่งไปให้ Pasteurizer Plastic และก็ทำออกมาเป็นลูกปัดสีๆ เหล่านี้ สองตัวนี้เป็น Prototype สองตัวแรกค่ะ ซึ่งเราไม่ขาย เราเก็บไว้ใช้เอง ส่วนตัวจี้ ตัว Pendent ทำมาจากเซรามิกที่แตกแล้ว คือเรารู้สึกว่าเราอยากให้คุณค่าของสิ่งที่มันอาจจะเรียกว่าเป็นขยะหรือว่าเป็นสิ่งของเหลือใช้ เราอยากให้มันมีมูลค่า ให้มันมี Value อีกรอบ เราเลยเอามาทำเป็นอะไรอย่างนี้ ใช้ดีไซน์เป็นตัวแก้ปัญหา ทุกชิ้นด้วยความที่เป็น Upcycling Recycling เลยเป็นแบบชิ้นเดียวในโลกเท่านั้น
แล้วนทก็นึกถึงความพิเศษของมันด้วยนะ เพราะมันจะไม่ซ้ำใครเลยค่ะ ออกแบบเอง ทำเองที่ห้อง วันหนึ่งก็ลองมามัดๆ ดูแล้วเวิร์ก สามารถเอาไปทำโมเดลเป็นเวิร์กช็อปได้ด้วย เวลาที่ไปงานต่างๆ เขาก็ชอบให้ทำเวิร์กช็อปอันนี้ค่ะ แล้วคนก็มาจอย คนก็สามารถภูมิใจว่าฉันทำเอง อย่างกางเกงอันนี้เป็นผ้าฝ้ายจากเชียงใหม่แล้วตัวเชือกเราทำกับชุมชนแม่บ้านที่เชียงใหม่แถวๆ บ้าน ให้เขาทำมือเป็นเชือกออกมา และเสื้อก็เป็นการ Upcycling ผ้าเก่า เป็นผ้าของเผ่าม้ง เราอยากอุดหนุนเขา เราเลยไปซื้อเขามา จริงๆ มันเป็นชายกระโปรงเขา เป็นผ้าเก่า แล้วเราก็เอามาทำกับผ้าค้างสต๊อก เป็นผ้าที่เหลือใช้แล้วเหมือนกัน เอามาต่อเป็นเสื้อแบบนี้
กว่าจะมาเป็นน้ำมันบำรุงผิว Notep
บ้านที่เชียงใหม่ของนทอยู่แถวๆ การ์ดหลวง ก็ชอบไปเดิน ไปคุย ขับมอเตอร์ไซค์ไป ไปเดิน ไปคุย มันก็กลายมาเป็นอย่างนี้ค่ะ ทุกอย่างมันก็เป็น Process ของการพบปะ การพูดคุยกับคน แล้วอันนี้เป็น Product ชิ้นแรกค่ะ เป็นน้ำมันที่ใช้เองเลย เวลาไปทะเล จะมีช่วงที่นทไปทะเลหนักๆ คือช่วงโควิด เหมือนอยากหาน้ำมันที่เราใช้เองแล้วไม่เป็นพิษต่อปะการังด้วย เลยเกิดมาเป็นสูตรนี้ พอใช้ไปถึงระดับหนึ่งรู้สึกว่าอยากแชร์จัง เพราะชอบมีคนมาถามว่าทำยังไง เลยอยากแชร์สูตรนี้ เลยออกมาเป็นขวดนี้ค่ะ
มีน้ำมันอยู่ 10 ชนิด เป็นออร์แกนิกหมดเลย ไม่มีสารเคมี ไม่ใช้น้ำหอม เราใช้เอสเซนเชียลออยล์แทน กลิ่นก็จะแบบ Wellness หน่อย เป็นลาเวนเดอร์ ซิตรัส ประมาณนี้ ทาหลังอาบน้ำแล้วนอนสบายมาก ที่สำคัญคือแพ็กเกจจิ้งเป็นขวดแก้ว ฝาเป็นอะลูมิเนียม เราพยายามใช้พลาสติกให้น้อยที่สุด จะมีแค่ตรงหัวจุกหยดนิดหนึ่ง เพื่อให้มันไม่เลอะค่ะ แล้วก็ Add Gimmick เป็นสร้อยหินให้คนสามารถเอาไปเป็นแหวน เป็นแอ็กเซสซอรีต่อได้ สติกเกอร์เป็นกระดาษด้วยไม่ใช่สติกเกอร์พลาสติก
ทุกวันนี้รู้สึกกับแบรนด์ Notep ของตัวเองอย่างไร?
ความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์ทุกวันนี้เหมือนมีลูกนะ แต่เป็นลูกที่เรามีความสุขกับการที่เราได้แต่งเติมเขา คือรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เราจะได้พัฒนาลายใหม่ โปรดักต์ใหม่ เพราะเรารู้สึกว่าได้เวลาลดขยะในแบบครีเอทีฟกันอีกแล้ว นทจบดีไซน์มา นทรู้สึกว่านทดีใจที่ได้เรียนดีไซน์ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้อย่างสนุกและครีเอทีฟ
นทรู้สึกว่าในยุคปัจจุบันถ้าเราอยากจะสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ในเรื่องที่เข้าใจยากๆ อย่างเรื่องสิ่งแวดล้อมเอง หรือว่าเรื่อง Meditation Wellness มันควรที่จะสื่อสารในทางที่มันสนุกที่สุด เพื่อที่เขาจะได้เปิดใจและอยากจะมาเข้าร่วม ก็เลยรู้สึกว่าเราสนุกกับการที่ได้คิด ได้ครีเอทีฟ แบบ Thinking ว่าโอเคเราจะแก้ปัญหานี้ยังไง เราจะทำให้คนมาสนใจยังไง
สิ่งที่ทำมาจากความต้องการของหัวใจกี่เปอร์เซ็นต์
ทุกวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำอยู่ถือว่าเป็นแพสชันของเรา 100% เลย แฮปปี้มากที่ได้ทำในสิ่งนี้ แล้วก็ขอบคุณจักรวาลที่ทำให้มันเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างสมูทมากเลยนะ นทว่านทโชคดีมากๆ ที่ได้มาทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถึงแม้มันจะมีปัญหา มีสิ่งต่างๆ ที่ต้องผ่าน แต่นทว่ามันค่อนข้างสมูทในระดับหนึ่งในการที่เราสามารถมาทำตรงนี้ได้ แล้วมันสามารถหล่อเลี้ยงทำให้เรายังดูแลตัวเองได้ ดูแลองค์กรต่างๆ ที่เราทำได้ โดยที่ไม่ได้กระเสือกกระสนมากมายเกินไป
ช่วงเวลาที่เหนื่อยและท้อ นทมีวิธีคิดอย่างไรเพื่อให้ก้าวผ่านไปอย่างราบรื่น?
มันมีอยู่แล้วค่ะ ในทุกๆ อย่างมันต้องมีโมเมนต์ที่เรารู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ นทว่ามันเป็น Process มันเป็น Growth เป็น Journey ที่ทุกคนจะต้องก้าวผ่านออกนอก Comfort Zone ตัวเอง เพื่อที่จะพัฒนาเป็นเวอร์ชันที่ดีขึ้นของตัวเองได้ นทว่าตัวเองนี่แหละ ในทุกๆ คน ตัวเองคือสิ่งที่สามารถฮีลตัวเองได้ดีที่สุด เพราะว่าถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเองแล้วเราดึงตรงนั้นของตัวเองออกมาได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะทำอะไรกับเรา เราก็จะสามารถผ่านพ้นมันไปได้ แค่เราเชื่อมั่นในตัวเอง
อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังมองหาอาชีพใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากงานประจำ
นทเชื่อมั่นมากว่าในทุกวันนี้มีแค่ 1 งานไม่พอ อย่างตอนโควิดทำให้เห็นได้ชัดมากเลย คือก่อนโควิดนทเคยงงกับตัวเองนะว่าเราเป็นนกเป็ดน้ำ ทำไมเราทำอะไรได้หลายอย่างจังเลย แต่ว่ามันก็ยังไม่ได้แบบว้าวสักด้าน แต่พอช่วงโควิด ตอนนั้นคือ Thank God มากที่เราทำได้หลายอย่าง เพราะมันทำให้เรากระจายรายได้ มันทำให้เราไม่เดือดร้อนเลย ตอนนั้นคือแบบโชคดีมากๆ คือไม่เดือดร้อนเลยเรื่องการงาน เพราะว่าเราทำได้หลายอย่างมาก ทำให้พอมีงานอันนี้ เราก็ทำได้ อันนั้นเราก็ทำได้ อยู่บ้านเราก็ทำได้ มันเลยทำให้เราขอบคุณที่เราเป็นแบบนี้ แล้วรู้สึกว่าโอเค เราอยากจะผลักดัน อยากจะ Push ให้คนอื่นๆ เห็นความสำคัญของการลองสายใหม่ๆ ด้วย ออกนอก Comfort Zone ตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำสิ่งเดียว อย่างเดียว แต่ลองทำในสิ่งอื่นๆ ด้วย เพราะว่าเวลาอะไรเกิดขึ้นเรามีแผนสำรองรองรับ และที่สำคัญที่สุดนทว่ามันสนุกกว่า มันไม่เบื่อ มันสนุกมากเลย
ความฝันในสเตจต่อไปของนทคืออะไร?
จริงๆ Goal Vision สุดๆ ของเราเลยคืออยากทำเกาะเต่าให้เป็น Model Island ด้วยความที่เป็นเกาะขนาดเล็ก และคนบนเกาะค่อนข้าง Concious เรื่องสิ่งแวดล้อม มันเลยไม่ยากที่จะ Converse อีก 50% ก็มีแพลนที่จะขยายไปยังเกาะอื่นๆ ไหม ตอนนี้ยัง เพราะว่าเราอยากทำให้ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน แต่มีแพลนที่จะเอาโมเดลนี้ไปพัฒนาเป็นโรงเรียน
ณ ปัจจุบันอันนี้เป็นโปรเจกต์ระยะยาวนะ แต่แอบมาเล่าให้ฟังก่อน คือนทมีเพื่อนสนิททำโรงเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ค่ะ แล้วเขามีโรงเรียนอยู่แล้วหลายๆ ที่ แต่เขาอยากสร้างโรงเรียนใหม่ที่มีโมเดลให้มัน Green ที่สุด สอนเด็กๆ ให้รักธรรมชาติ ให้อยู่กับธรรมชาติ แต่ก็ยังมีหลักสูตรที่เป็น IB ยังสามารถที่จะไปต่อยอดได้ แต่นทจะเข้ามาช่วยเป็น Consult ในด้าน Sustainability ว่าจะทำยังไงให้สามารถปลูกฝังเด็กๆ เรื่อง Climate Change ให้มันสนุกที่สุดได้ อันนี้คือการ Spin Off โปรเจกต์ที่เราทำที่เกาะเต่าให้มันไปต่อยอดได้ และที่สำคัญคือมันอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดเรา ทำให้มันจะ Sustainable มากกว่า เพราะว่านทไม่ต้องเดินทางไปไหน นทสามารถทำงานอยู่ที่บ้านเกิดตัวเองได้ เป็น Begining Process มากๆ แอบมาเล่าให้ฟัง เพราะว่าเป็นโปรเจกต์ที่เราแฮปปี้มาก มันเหมือน Life Goal น่าจะอีกสักพักหนึ่งเลยกว่าจะได้เห็น มันจะต้องค่อยๆ ไป
อยากบอกอะไรกับคนที่ยังไม่เริ่มทำตามความฝัน
นทว่าแบบ Don’t just dream just do it หลายๆ คนจะชอบคิดว่าแบบฉันฝันว่าอยากจะให้อย่างนี้ ฉันฝันจะอย่างนั้น คือนทก็ยังฝันอยู่ แต่นทรู้สึกว่าถ้าฝันอย่างเดียวมันก็จะไม่ออกมาเป็นจริง มันจะแค่อยู่ในความฝัน เราต้องลงมือทำเลย ไม่ต้องห่วงว่ามันจะออกมาไม่เป็นตามสิ่งที่คาดไว้ หรือมันจะไม่เป็นเหมือนที่ยังไงก็ตาม
นทรู้สึกว่าถ้าเราไม่ลงมือทำ เราก็จะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะออกมาเป็นยังไงได้ ทุกๆ ความผิดพลาด ทุกๆ ปัญหามันคือ Growth มันคือ Process ให้เราไปเป็น Better Version ของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นนทว่าลงมือทำเลย แล้วเราก็เรียนรู้จาก Journey ตรงนั้นไป ไม่ต้องรอให้มันสวยงามเพอร์เฟกต์ที่สุดแล้วค่อยทำ เพราะว่าแล้วเมื่อไรล่ะมันจะเกิดขึ้น?
ในยุคนี้นทว่าอย่างหนึ่งที่ทุกคนสามารถ Keep in mind ได้คือทุกอย่างมันเร็วมาก และมันมีอะไรออกมาเยอะมากๆ ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากทำอะไร ทำเลย เพราะถึงแม้มันไม่ดี เดี๋ยวคนก็ลืม แล้วเราก็ใช้ตรงนี้เป็นการเรียนรู้ของเราไป ให้เราได้เติบโต ให้เราได้พัฒนา ทำเลยค่ะ เพราะทุกอย่างตอนนี้มันเร็วมาก ไม่มีใครจำความผิดพลาดของเราได้ตลอดไป อีกอย่างหนึ่งที่อยากให้ Keep in mind ไว้ก็คือว่าทุกอย่างที่เราจะทำ Consequence ของมันเราอยากให้คิดไว้ว่าเราสร้างอะไรให้กับโลกใบนี้บ้าง และเราทิ้งอะไรไว้บ้าง ถ้าเราทิ้งไว้เยอะในแง่สมมติว่าเราทำแบรนด์ แต่เราแบบโอ้โห Waste ออกมาเยอะมากๆ เลย ก็เริ่มไม่ใช่แล้วแหละ เราต้องคิดถึง Consequence ของ Carbon Footprint ของเรา ของ Ecological Footprint ของเราว่าสิ่งที่เราทำมันสร้างตรงนี้เยอะขนาดไหน แล้วถ้ามันเยอะเราจะลดได้ยังไง เราอยากจะทิ้งอะไรไว้บนโลกใบนี้ เราอยากจะทิ้ง Legacy ของเราในแบบไหน ให้ลอง Keep in mind ตรงนี้เอาไว้
นทอยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่บ้าง?
สำหรับคนรุ่นใหม่ โลกอยู่ในมือของคุณ อนาคตอยู่ในมือของคุณ คุณจะอยากให้มันเป็นยังไง คุณมีสิทธิ์มีเสียงในการสร้างออกมาให้เป็นไปอย่างงั้นได้ เพราะฉะนั้น Be the Change you want to see in the world หยุดคอมเพลน หยุดบ่น แต่ลงมือทำ แล้วก็ลงมือแก้ปัญหาสิ่งเหล่านั้นให้มันเป็นในทางที่เราต้องการอยากให้มันเป็น
นทเชื่อใน Karma กฎแห่งกรรม หรือทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว นทเชื่อนะ คือจากต่างๆ ที่เราใช้ชีวิตมา เราเห็น เรารู้สึกว่ายิ่งเราทำดี ทุกวันนี้ที่เราทำดีเราไม่ได้หวังอะไร แต่อยากบอกว่าที่เราทำไปมันเห็นผล เพราะฉะนั้นอยากเชิญชวนให้ทุกคนมาทำดี เพราะมันดีจริงๆ ทุกอย่างพอเรา Raise Vibration ของเราให้มันมีแต่สิ่งดีๆ ให้มันมี Positive Energy เราก็จะดึงดูดสิ่งเหล่านั้นเข้ามา งานที่เราได้รับ คนที่เข้ามาในชีวิตเรา ทุกๆ อย่างมันดีมาก พอเรามีแต่สิ่งดีๆ ให้ออกไป แล้วเราก็ได้สิ่งดีๆ กลับมา ความฝันที่เราเคยฝันเอาไว้มันก็เริ่มเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเรามีแต่ปล่อยสิ่งดีๆ ออกไป สิ่งดีๆ มันก็เลยถูกดึงดูดกลับมา
สุดท้ายฝาก Notep Store เอาไว้ น่าจะมีโปรดักต์และแคมเปญอะไรสนุกๆ แล้วก็ดีๆ ให้ทุกคนได้ติดตามเรื่อยๆ เลย นทเองมีแผนในหัวเยอะมาก เดี๋ยวรอติดตาม แล้วก็สามารถ Follow กันได้ใน Instagram นะคะ @notep_store หรือว่า https://www.notep.store/ นอกจากนี้จะมีโปรเจกต์ที่เป็น Healing สามารถติดตามได้ใน IG นทเหมือนกัน จะมีอัปเดตเรื่อยๆ นทมีชื่อว่า Heart Activation Selective เราจัดเป็น Ceremony ที่เราเปิดใจของคนให้รับ Opportunity ใหม่ๆ ให้รับสิ่งใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เราใช้ Cacao กับ Sound Healing เป็นตัวรัน นททำกับเพื่อนๆ ที่เชียงใหม่ แต่เราก็ทำมีที่กรุงเทพฯ ด้วย