เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปร่วมทริปเดินเขาที่ประเทศญี่ปุ่นกับ Walk Japan นักจัดทริปเดินท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเส้นทางให้เลือกหลายระดับ ทั้งความยาก-ง่าย แล้วแต่ระดับความพร้อมของร่างกาย และความใกล้ชิดธรรมชาติที่แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
เส้นทางที่เราเลือกไปมีชื่อว่า Michinoku Coastal Trail เป็นเทรลที่หากเก็บครบทุกเส้นทางจะมีระยะทาง 1,000 กิโลเมตร โดยเทรลนี้อยู่เลียบชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น หรือภูมิภาคโทโฮคุ ที่เคยเกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2011
ทำไมถึงเลือก Michinoku Coastal Trail?
Michinoku Coastal Trail เป็นเทรลเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2023 ซึ่งเทรลมีระยะทาง 1,000 กิโลเมตรก็จริง แต่เราไม่ต้องเดินเท้าตลอดระยะทางทั้งหมด เนื่องจากเทรลเส้นทางนี้อยู่ในหลายจังหวัดของภูมิภาคโทโฮคุเริ่มตั้งแต่อาโอโมริเรื่อยลงมาจนถึงมิยางิ หลายคนจึงเดินทางมาเริ่มต้นที่ Trailhead (จุดเริ่มต้น) ก่อนนั่งรถไฟหรือรถบัสไปเมืองอื่นๆ เพื่อเที่ยวและเดินเขาลูกต่อไป
ซึ่งจะบอกว่าเป็นความตั้งใจของชาวโทโฮคุก็คงไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่เกิดเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2011 เมืองในแถบนี้ก็เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อทำให้นักท่องเที่ยวและเศรษฐกิจกลับมาคึกคัก คนในภูมิภาคโทโฮคุจึงร่วมมือกันสร้างเทรลเส้นทางใหม่ที่ชื่อว่า Michinoku ซึ่งแปลว่า ‘สุดปลายถนน’ เพื่อชักชวนคนชอบเดินเขาชมธรรมชาติให้มาเที่ยวที่เมืองต่างๆ ตลอดเส้นทางนี้
แต่ถ้าหากใครแข็งแกร่งและมีเวลามากพอก็สามารถเดินเท้าตลอดเส้นทางได้ เพราะเทรลทั้งหมดเชื่อมกันตั้งแต่ต้นจนจบ โดยระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 1,025 กิโลเมตร
ส่วนเรามาเดินเทรลนี้กับ Walk Japan ที่วางโปรแกรมเส้นทางและที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 9 วัน 8 คืน ในการเดินเทรล 7 เส้นทาง ซึ่งอยู่ใน 8 เมืองของ 3 จังหวัด คือ อาโอโมริ อิวาเตะ และมิยางิ รวมระยะทางทั้งหมดที่เราเดินก็ประมาณ 70 กิโลเมตร
อยากเดินเทรลเส้นทางนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
ถ้าเป็นเรื่องสภาพร่างกาย Michinoku Coastal Trail มีระดับความเหนื่อย (Activity Level) 4 เต็ม 6 และระดับความยาก (Technical Level) 5 เต็ม 6 ทุกคนต้องเดินขึ้นเขาติดต่อกันทุกวัน วันละประมาณ 10 กิโลเมตร ระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,200-2,000 ฟุต ใช้เวลาเดินประมาณวันละ 4-6 ชั่วโมง และด้วยความที่เป็นเส้นทางริมชายฝั่ง เทรลนี้จึงต้องเดินขึ้น-ลงทั้งบนชายหาด ภูเขา โขดหิน และบันได
คนที่อยากเดินเทรลเส้นทางนี้จึงต้องมีระดับความฟิตสูงพอสมควร เราแนะนำให้ฝึกปอดและกล้ามเนื้อเพื่อที่จะไม่เหนื่อยง่ายและหายเหนื่อยไว สามารถเดินต่อได้นานๆ เนื่องจากเป็นทริปที่เดินเป็นกลุ่ม จึงอาจหยุดเดินเป็นพักๆ เท่านั้น
ทว่าแต่ละวันจะค่อยๆ ไต่ระดับความยากขึ้นไป จึงไม่รู้สึกทรมานร่างกายเท่าไร เนื่องจาก Walk Japan จัดโปรแกรมเส้นทางและความยากโดยเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก
เราแอบถามไกด์มาด้วยว่าถ้าหากใครเดินไม่ไหวกลางทางจะทำอย่างไร ไกด์บอกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และเคยเกิดขึ้นแล้ว Walk Japan จึงมีเอกสารให้ลูกค้าเซ็นยินยอมว่าขอถอนตัว หรือบางคนอาจเดินทางไปด้วยจนจบทริป แต่ขอเดินเฉพาะวันที่ไหวก็มี
ตลอด 9 วัน 8 คืน ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตแบบไหน?
ทริปนี้เราต้องเปลี่ยนที่นอนไปตามเมืองต่างๆ ที่ต้องแวะเดิน โดยวันแรกทุกคนต้องเดินทางมาที่จุดนัดพบเองเพื่อเจอไกด์และเพื่อนร่วมทริปคนอื่นๆ หลังจากนั้นตลอดทริปจะมีรถคอยขนส่งสัมภาระไปยังที่พักใหม่ให้ตลอด เช่นเดียวกับการเดินเขาที่จะมีรถไปส่งถึงจุดเริ่มต้น หรือบางครั้งอาจได้นั่งรถไฟ รถบัส หรือรถสาธารณะ เพื่อไปยังเมืองต่อๆ ไปด้วย
กิจวัตรของเราในทริปนี้คล้ายกันทุกวันคือ เริ่มต้นวันด้วยการกินอาหารเช้า ณ ที่พัก มื้อกลางวันกินอาหารจากมินิมาร์ท ซึ่งทุกคนจะแวะซื้อพร้อมกันเพื่อนำไปกินระหว่างเดินเขา ส่วนมื้อเย็นไปกินอาหารที่ร้านโลคัลซึ่งไกด์จองไว้ให้แล้ว แต่ละมื้อแทบไม่ซ้ำสไตล์ โดยส่วนใหญ่เป็นแบบไคเซกิ หรืออาหารโฮมเมด
เรามีอีกทริกหนึ่งที่อยากบอก เนื่องจากเทรลนี้ทุกคนจะได้เปลี่ยนที่นอนทุกวัน ตั้งแต่นอนในบ้านสไตล์ญี่ปุ่น เรียวกัง และออนเซน จะเป็นเรื่องดีมากถ้านำกระเป๋าเดินทางขนาดกลางๆ ไป เพราะที่พักบางแห่งไม่มีลิฟต์ หรือต้องนอนบ้านสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ปูพื้นด้วยเสื่อ ซึ่งไม่ควรลากกระเป๋ามีล้อ เพราะอาจทำให้พื้นเสียหายได้
ค่าใช้จ่ายในการร่วมทริป Walk Japan
เทรลแต่ละเส้นทางของ Walk Japan มีช่วงเวลาและราคาที่ต่างกันไป สำหรับ Michinoku Coastal Trail ซึ่งเป็นเทรลริมชายฝั่ง จึงจัดทริปเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายนและเดือนกันยายน-พฤศจิกายนเท่านั้น โดยรับนักเดินสูงสุดแค่ 12 คนต่อทริป โดย Michinoku Coastal Trail มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 4.8-5 แสนเยน (ประมาณ 1.2 แสนบาท) ราคานี้รวมค่าที่พัก ค่าอาหาร นักนำทาง ค่ารถขนส่งสัมภาระ และค่าเข้าสถานที่ต่างๆ รวมถึงค่าเดินทางตลอดทริปตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนจุดสุดท้าย
และเนื่องจากค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่รวมอยู่ในค่าสมัครเข้าร่วมทริปแล้ว ระหว่างทริปทุกคนจึงไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลย ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่น้ำเปล่า รวมถึงของฝากส่วนตัว
แม้จะกลับจากทริปนี้มาสักพักแล้ว แต่เรายังจำความรู้สึกตอนเดินเทรลนี้ได้ชัดเจน ทั้งประสบการณ์ที่ได้พบ เรื่องราวที่ได้ฟัง และเพื่อนใหม่ที่ได้เจอ รวมถึงธรรมชาติสวยๆ ริมมหาสมุทรแปซิฟิกที่ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมา เราว่าการเดินทางครั้งนี้ให้อะไรเรากลับมาหลายอย่าง และเชื่อว่าหากใครได้ลองไปเดินบนเส้นทางนี้ก็จะรู้สึกหลงรักภูมิภาคโทโฮคุขึ้นมาเช่นกัน
ทุกคนสามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับเทรล Walk Japan และเส้นทางอื่นๆ ได้ที่เว็บไซต์ https://walkjapan.com
ภาพทั้งหมดถ่ายโดย Canon PowerShot G7 X Mark III
ภาพ: เกณิกา รวยธนพานิช, Walk Japan