เกิดอะไรในใจจึงทำให้เราปฏิเสธคนอื่นได้ยาก?
แม้ว่ามนุษย์จะมี ‘ความเฉพาะบุคคล’ เป็นของตัวเอง ทั้งความชอบ ความสามารถ ค่านิยม และความรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ หากแต่ ‘การเป็นส่วนหนึ่งของสังคม’ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้มนุษย์รับรู้ได้ถึงความมีคุณค่าในตนเอง จึงมีความพยายามอยู่เสมอในการสร้างความเหมือนเพื่อกลมกลืน และสร้างความแตกต่างเพื่อโดดเด่นออกมาในหลายรูปแบบของการกระทำ เช่น การมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบสิ่งเดียวกัน และแสดงออกอย่างกลมกลืนเพื่อรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง หรือแม้แต่การแสดงตัวที่แตกต่างเพื่อให้ได้รับความสนใจจากผู้อื่น ยืนยันว่าเราเป็นส่วนหนึ่งจากการได้รับความสนใจ
สองเหตุการณ์นี้เป็นการแสดงการกระทำอย่างตรงข้ามกัน แต่เพื่อความต้องการเดียวกันคือ ‘การมีตัวตนทางสังคม’ ดังนั้นแล้วไม่ว่าทั้งการตอบรับหรือการปฏิเสธก็ทำให้เรายังรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้ ขึ้นอยู่กับว่า ‘เรามีความคิดเห็นและรู้สึกอย่างไรต่อการกระทำของตัวเอง’ หากแต่ชุดความเชื่อที่ถูกบอกต่อและสอนมาจากผู้ใหญ่ที่ให้คุณค่ากับ ‘การช่วยเหลือผู้อื่น’ ‘ความสงสารคือความดีงาม’ กลับทำให้เรารู้สึกหวั่นใจเมื่อต้องปฏิเสธใครสักคนหนึ่ง ซึ่งความคิดนี้มักทำให้เราตัดสินใจตอบรับหรือช่วยเหลือคนอื่นๆ ในขณะที่ใจก็ไม่ได้ยินดี และการช่วยเหลือนั้นกลับทำให้เราต้องเหนื่อยหนักมากขึ้น แล้วเราจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร ให้ใจยังไหวและก้าวไปได้ต่อ?
ความทุกข์ของ Yes Man สิ่งที่คนปฏิเสธไม่เป็นมักจะต้องพบเจอ
- ทุกข์กาย ในคนที่พร้อมอ้าแขนรับงานทุกงาน และการร้องขอความช่วยเหลือจากคนทุกคน เพราะนอกเหนือจากการที่ต้องจัดการงานและชีวิตของตนเองแล้ว การรับสิ่งต่างๆ ไว้โดยไม่ปฏิเสธ ส่งผลให้เราต้องใช้กำลังมากขึ้นเป็นหลายเท่า ซึ่งอาจส่งผลให้งานที่รับมาก็ไม่สำเร็จ และงานเดิมที่ตนเองทำอยู่ได้รับผลกระทบเพราะความเหนื่อยล้า
- ทุกข์ใจ ทั้งจากการรับเอางานหรือภาระของคนอื่นมาด้วยความจำใจ ปฏิเสธไม่ได้แบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือตรงข้ามเป็นความทุกข์ใจที่ต้องปฏิเสธ เพราะเชื่อว่า ‘การปฏิเสธเป็นสิ่งไม่ดี ไม่มีน้ำใจ’ เป็นต้น
ถ้าไม่อยากเป็น Yes Man ที่ทุกข์กายทุกข์ใจ ทำอย่างไรดี
ประเมินความรู้สึกของการอยากทำ หรือต้องทำ?
ผ่านการทบทวนตนเองให้เข้าใจความหมายของการปฏิเสธให้ชัดเจนมากขึ้น ว่าการปฏิเสธนั้นเกิดขึ้นได้โดยมีหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ‘ทุกคนเคยได้รับการปฏิเสธ อาทิ การปฏิเสธทางตรง คือการพูดบอกด้วยถ้อยคำ หรือการปฏิเสธทางอ้อม อาทิ การไม่ได้รับเข้าทำงานหลังการประกาศผลสัมภาษณ์ทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้นแล้วเรามีสิทธิ์ที่จะทบทวนความรู้สึกของตนเองที่มีต่อการร้องขอความช่วยเหลือนั้นว่าเรารู้สึก ‘อยากทำ หรือต้องทำ’
ประเมินความสามารถ ทำได้ ทำยาก
การปฏิเสธนั้นไม่ได้วัดด้วยเกณฑ์ของความรู้สึกเพียงอย่างเดียว เพราะในหลายครั้งเราตอบรับภาระมาในขณะที่ไม่ได้ประเมินความสามารถทำให้งานไม่สำเร็จ เรารู้สึกผิดหวังเสียใจและอาจเสียความสัมพันธ์ ดังนั้นการประเมินความสามารถและกำลังกายต่อการรับภาระงานนั้นคือสิ่งสำคัญ
ประเมินความสำเร็จ ด่วน รอได้ สำคัญมาก สำคัญน้อย
ถึงแม้เรามีความรู้สึกอยากทำ และมีกำลังความสามารถมากพอที่จะทำได้ การประเมินภาระงานเดิมของเรา และระยะที่ต้องทำงานนั้นให้สำเร็จ คืออีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากมีระยะเวลาที่กระชั้นมาก แรงกดดันภายในอาจไปกระทบประสิทธิภาพในการทำงานให้ออกมาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น มิหนำซ้ำอาจไม่สามารถทำงานต่างๆ ได้ทันตามเวลาที่กำหนด
ถ้าประเมินสามสิ่งแล้วว่าตนเองพอรับไหวในการยื่นมือไปให้ความช่วยเหลือ การตอบรับไปจะทำให้เรารู้สึกอย่างไร และให้คุณค่ากับตนเองอย่างไร คือสิ่งที่อยากชวนให้ทบทวน เพราะหลายครั้งการช่วยเหลือของมนุษย์ก็มักคาดหวังสิ่งตอบแทนเชิงรูปธรรม เช่น คำชม รางวัล ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมจากเรา การทบทวนความรู้สึกของการได้เป็นผู้ช่วยเหลือให้คุณค่าอะไรแก่เรา คือสิ่งที่จะเป็นกำลังใจในการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป
แล้วถ้าไม่ไหวทั้ง ความรู้สึก ความสามารถ หรือความสำเร็จ ต้องทำอย่างไรกับตัวเรา
ต้องรู้ทันร่างกายที่มาจากความรู้สึกกังวลใจ บางคนใจสั่น คิดวกวน ขาดสมาธิ กลืนน้ำลายยาก พูดจาติดขัด หลังจากที่รู้เท่าทัน และขอเวลาสำหรับตนเองในการค่อยๆ สงบอารมณ์ ผ่อนคลายลมหายใจ เพื่อลดการสื่อสารในขณะที่เรามีอารมณ์กังวล เมื่ออารมณ์สงบลง เริ่มต้นสื่อสารประโยคปฏิเสธ I message โดยเป็นการบอกความรู้สึก และความเห็นจากตัวเรามากกว่าพูดถึงตัวเขาเพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีไว้ อาทิ เราไม่สามารถรับงานนี้ไว้ได้เพราะเรากังวลว่างานเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดของเราอาจทำให้งานที่รับมอบมาไม่สำเร็จ
สิ่งที่เกิดกับตัวเขาเมื่อถูกปฏิเสธ
สังเกตและประเมินว่าเขารู้สึกอย่างไร หากพบได้ว่าเข้ามีภาษากาย ท่าที น้ำเสียง ลมหายใจที่เปลี่ยนไป อาจลดปริมาณการสื่อสารลง ให้เวลาสำหรับเขาเพื่อผ่อนคลาย เพื่อระมัดระวังการสื่อสารในขณะที่เขามีอารมณ์ลบ ที่อาจไม่พอใจการถูกปฏิเสธ เมื่อสังเกตได้ว่าเขาค่อยๆ มีท่าทีสงบลง เราอาจค่อยๆ เสนอทางเลือกอื่นๆ ที่เขาจะได้รับการช่วยเหลือจากแหล่งอื่นๆ