×

ขี้เกียจออกกำลังกาย…แก้นิสัยนี้อย่างไรดี?

27.10.2023
  • LOADING...
ขี้เกียจออกกำลังกาย

ทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้ว่าการออกกำลังกายนั้นเป็นสิ่งจำเป็นและดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ แต่การจะเริ่มออกกำลังกาย หรือจะทำให้ต่อเนื่องนี่สิเป็นเรื่องยากสำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคนที่เริ่มต้นใหม่ หรือคนที่เคยออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่มีเหตุให้ต้องหยุดออกกำลังกายไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วจะกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง ก็จะต้องผ่านด่านการเอาชนะความขี้เกียจเช่นกัน 


ในความจริงแล้วการออกกำลังกายนั้นจะยากเมื่อเริ่มต้นเสมอ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ได้ทำอย่างสม่ำเสมอเราจะขี้เกียจน้อยลง เพราะร่างกายของเราจะพัฒนาขึ้นจนทำกิจกรรมเหล่านี้แล้วไม่เหนื่อย และยังมีการหลั่งสารความสุขที่ทำให้เราผ่อนคลายความเครียดหลังออกกำลังกายในแต่ละวันจนกลายเป็นกิจกรรมที่สนุกมากขึ้นนั่นเอง ในบทความนี้จะขอแนะนำการทำให้การออกกำลังกายทำได้ง่ายและสนุกมากขึ้น


ทำอย่างไรให้การออกกำลังกายทำได้ง่ายและสนุกมากขึ้น?

 

1. วางเป้าหมายในการออกกำลังกายให้ชัด 

 

เช่น เราออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก เพื่อรูปร่างที่ดี หรือเพื่อควบคุมโรคประจำตัว (โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ไขมันพอกตับ เป็นต้น) การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น โดยอาจใส่ลูกเล่นให้กับเป้าหมาย หรือเพิ่มการให้รางวัลกับตัวเองเพื่อให้ดึงดูดใจมากขึ้น เช่น ถ้าออกกำลังกายได้ตามเป้า หุ่นสวย จะซื้อเสื้อผ้าที่อยากได้มาใส่ เป็นต้น

 

2. เริ่มจากอะไรที่ง่ายและใช้เวลาไม่นานก่อน

 

เช่น เริ่มจากการใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ การจอดรถไกลจากที่ทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้เดิน และต่อมาค่อยเริ่มออกกำลังกายด้วยกิจกรรมเฉพาะที่ใช้เวลาไม่นานเพื่อให้สามารถจัดเวลาออกกำลังกายได้โดยไม่มีข้ออ้าง เช่น เดินเร็วหรือวิ่งสลับเดินวันละ 30 นาที หรือเลือกฟิตเนสที่เดินทางไปได้ง่าย ไม่เสียเวลาเดินทาง ฯลฯ หากเราเริ่มต้นออกกำลังด้วยวิธีที่ยากและใช้เวลาเยอะ จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงนี้มากขึ้นจนล้มเลิกไปในที่สุด

 

3. Companion หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์

 

ควรหาเพื่อนมาออกกำลังกายด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ พี่น้อง คู่ชีวิต หรือเพื่อนๆ ที่ทำงาน เพราะการที่มีคนที่คุ้นเคยมาออกกำลังกายด้วยกัน นอกจากจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้มีความสนุก ผ่อนคลาย มีกำลังใจมากขึ้น และยังช่วยกันเตือนหรือดึงให้ยังอยู่ในเป้าหมายได้มากกว่าทำคนเดียวอย่างแน่นอน

 

4. ปรับให้การออกกำลังกายมีความหลากหลายในแต่ละวัน

 

เช่น วันหนึ่งวิ่ง อีกวันเป็นการเต้นแอโรบิก วันถัดมาออกกำลังกายตามคลิป HIIT เป็นต้น การออกกำลังกายที่หลากหลายนอกจากจะทำให้ไม่เบื่อแล้วยังทำให้ร่างกายได้มีการพัฒนาหลายด้านไปพร้อมๆ กัน ทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความทนทานของหัวใจ ทำให้เรามีสุขภาพดีขึ้นในหลายมิติมากกว่าออกกำลังกายเพียงชนิดเดียว

 

5. หากิจกรรมการออกกำลังกายหรืออีเวนต์ต่างๆ

 

โดยเป็นกิจกรรมที่มีการแข่งขันกับผู้อื่นเป็นระยะ จะเห็นได้บ่อยๆ ตามฟิตเนสหลายที่มักมีกิจกรรมเก็บแต้ม หรือแข่งขันต่างๆ ให้กับสมาชิก เพื่อกระตุ้นให้การออกกำลังกายนั้นสนุกและมีกำลังใจมากขึ้น หากเราไม่ได้เป็นสมาชิกฟิตเนสก็สามารถทำได้เช่นกัน เช่น ในแอปพลิเคชันเกี่ยวกับการออกกำลังกายของมือถือหลายๆ แอปจะมีการสร้างกลุ่มของสมาชิกให้มาอวดผลการออกกำลังกายและจัดเป็นอันดับต่อสัปดาห์ 

 

6. อย่าลืมวันพักออกกำลังกาย (Rest Day)

 

หลายคนเข้าใจว่าการหยุดออกกำลังกาย 1 วันจะทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องในแผน แต่ในความเป็นจริงแล้วการมีวันพักออกกำลังกายในระหว่างสัปดาห์ถือเป็น 1 ในแผนการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เพื่อให้ร่างกายได้มีการพักและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปจากการออกกำลังกาย และพัฒนาทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น การออกกำลังกายทุกวันโดยไม่พักทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงและป่วยได้ โดยทั่วไปใน 1 สัปดาห์จะจัดให้มีการพักอย่างน้อย 1-2 วันขึ้นไป ซึ่งในวันพักนั้นสามารถยืดเหยียดหรือมีกิจกรรมเบาๆ เช่น ไปเที่ยว โดยที่กิจกรรมเบาๆ นั้นไม่ได้มีเป้าหมายเหมือนการออกกำลังกายวันทั่วไปนั่นเอง

 

7. ไม่ออกกำลังกายจนเหนื่อยและหนักเกินไป

 

โดยเฉพาะหากใกล้ถึงเดดไลน์ของเป้าหมายที่กำหนดไว้ การออกกำลังกายหนักเกินไปนอกจากจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงแล้ว ยังทำให้มีโอกาสในการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่ออีกด้วย เมื่อมีการบาดเจ็บขึ้นจะทำให้เราต้องหยุดออกกำลังกายโดยไม่คาดคิดและรู้สึกผิดกับตัวเอง จนส่งผลเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้ไม่อยากออกกำลังกายอีกเลยในอนาคต

 

8. มีไอดอลการออกกำลังกายสัก 1 คนเป็นแรงบันดาลใจ

 

การมีแรงบันดาลใจจากบุคคลตัวอย่างทำให้เรามีความอยากในการออกกำลังกายได้มากกว่าที่เราคิด สิ่งที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่าการจะไปถึงในจุดที่ไอดอลแต่ละคนสำเร็จนั้นต้องผ่านทั้งการเริ่มต้นที่ยากลำบาก และระยะเวลาที่นานกว่าจะมาถึงจุดที่สำเร็จ อย่าคาดหวังว่าเราจะมีศักยภาพเท่าหรือเก่งเท่าไอดอลตั้งแต่วันแรกๆ ที่เริ่มต้น เพราะการออกกำลังกายนั้นกว่าจะเห็นผลต้องทำอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 2 เดือนขึ้นไป หากรีบเกินไปก็จะทำให้เครียด หมดกำลังใจ และอาจบาดเจ็บได้อีกด้วย

 

หลายๆ คนไอดอลการออกกำลังกายนั้นคือตัวเราเองในอดีตที่แข็งแรง และเคยทำได้มาก่อน กลุ่มนี้ก็ยิ่งต้องระวังการคาดหวังจนเกิดความกดดันตัวเองมากเกินไป แต่ต้องบอกว่ามีสิ่งหนึ่งที่จะได้เปรียบกว่ากลุ่มคนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลยก็คือ ร่างกายที่เคยออกกำลังกายสม่ำเสมอมาก่อนนั้นจะมีความจำที่ทำให้ออกกำลังกายแล้วเห็นผลได้ไวมากกว่าคนที่ไม่เคยออกเลยนั่นเอง โดยสรุป หากต้องการกำจัดความขี้เกียจออกกำลังกายของเรานั้นต้องมีการวางแผนที่ดี และมีกำลังใจที่ดีประกอบกันทั้ง 2 ด้าน แผนเริ่มต้นที่ดีที่สุดต้องง่ายและกระทบกับชีวิตประจำวันให้น้อยที่สุด ไม่หนักเกินไป เสริมแรงบันดาลใจ และแรงกระตุ้นด้วยสิ่งที่ดีต่อใจ เพียงเท่านี้เราก็จะก้าวข้ามความขี้เกียจและไปออกกำลังกายได้สนุกมากขึ้นจนถึงเป้าหมายได้ไม่ยากอย่างแน่นอน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising