Gir ค็อกเทลบาร์บนตึกสูงใจกลางเมือง ที่อยากให้คนกับธรรมชาติอยู่ร่วมกัน

ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว ใครจะคิดว่าวงการบาร์และค็อกเทลของไทยจะก้าวไปไกลได้ถึงขนาดนี้ในยุคปัจจุบัน เรามีบาร์ที่ดริงก์ดี คอนเซปต์แน่น ไหนจะบรรยากาศและรายละเอียดปลีกย่อยที่ใส่ใจแบบทุกเม็ด จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หลังจากนี้ลองหาช่วงเย็นสักวันแวะมาที่ Gir เพื่อนั่งพักผ่อนพร้อมจิบค็อกเทลดีๆ สักแก้ว ไม่แน่ว่าหากรู้ตัวอีกทีอาจจะผ่านไปหลายแก้วแล้วก็ได้

The Vibe

กดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 40 จากชั้นล่างที่เต็มไปด้วยบรรยากาศจอแจพลุกพล่านพลันเปลี่ยนเป็นบรรยากาศกึ่งธรรมชาติกึ่งคนสร้าง ที่ตั้งใจออกแบบให้ผู้มาเยือนสัมผัสถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผสมผสานความดิบและเรียบหรูไปพร้อมกัน ตั้งแต่ประตูผลักบานใหญ่กึ่งหินกึ่งไม้ ตามด้วยพื้นกระเบื้องหินสลับพื้นไม้ขัด เพดานกระจกเงาเล่นริ้วที่ให้เงาสะท้อนเหมือนคลื่นน้ำ ส่วนต้นไม้ที่ตกแต่งบริเวณโดยรอบล้วนแต่เป็นต้นไม้จริง และลงหลักปักฐานกันตั้งแต่ก่อนร้านเปิดร่วมปี เพื่อให้ได้ความดิบและใกล้เคียงธรรมชาติอย่างที่เห็นทุกวันนี้

นี่ยังไม่รวมถึงพื้นที่เอาต์ดอร์ซึ่งมีที่นั่งพอสมควร และเหมาะสำหรับนั่งรับลมเย็นชมพระอาทิตย์ตกเป็นที่สุด และไม่มีตึกอื่นมาบดบังทัศนียภาพเลย

จุดที่ดีที่สุดของร้านไม่ใช่ที่ไหนนอกจากหน้าเคาน์เตอร์บาร์ยาว ที่ซึ่งคุณจะได้รับประสบการณ์จิบที่สมบูรณ์แบบ พร้อมด้วยขนมแกล้มที่สลับท็อปปิ้งไปเรื่อยๆ ตามแต่วัตถุดิบที่สอดคล้องกับค็อกเทล ณ ขณะนั้น

The Taste

ค็อกเทลได้แรงบันดาลใจมาจากนิยามของคำ 3 คำ คือ Wild / City / Coexistence ซึ่งแต่ละคำถูกตีความให้กลายเป็นซิกเนเจอร์ดริงก์ที่มีอยู่ 5 ตัว

Wild ตีความเป็นค็อกเทลที่ใช้เทคนิคง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีการเพิ่มกลิ่นและรสให้มีความป่าเขาและธรรมชาติ, City เป็นค็อกเทลที่ใช้เทคนิคสมัยใหม่และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาผสมผสาน มีความซับซ้อนในการรังสรรค์ขึ้นกว่าเดิม และเสิร์ฟในแก้วทรงสูง (Highball) เพื่อสื่อถึงความเป็นเมืองใหญ่ และ Coexistence ผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมและสมัยใหม่เข้าด้วยกัน หยิบยกจุดเด่นของค็อกเทลในหมวด Wild และ City มาตีความใหม่

เริ่มกันที่ดริงก์แรก Wildfire (480 บาท) ที่ตีความคลาสสิกค็อกเทล Old Fashioned ขึ้นมาใหม่ด้วยการสื่อให้เห็นภาพทุ่งข้าวโพดที่ถูกเพลิงไฟเผาไหม้ โดยเบสเป็นเบอร์เบินที่ผ่านกระบวนการ Fat-Washed ด้วยมันเนื้อวากิวกับเนยข้าวโพด แล้วท็อปด้วยยอดอ่อนข้าวโพด จิบแล้วได้ฟีล Old Fashioned สลับกับรสกลมที่ได้จากข้าวโพด ชวนหิวเหมือนกันนะ

ขยับไปที่อีกหมวด Ho Chi Minh Pizza (480 บาท) หนึ่งในหุ้นส่วนร้านเล่าให้ฟังว่า ที่มาของแก้วนี้เกิดขึ้นจากช่วงที่ไปทำ Guest Shift ที่เวียดนาม และมีโอกาสไปร้านพิซซ่าแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าค็อกเทลพิซซ่าแก้วนี้ทางร้านจัดแจงนำผงกลิ่นพิซซ่าไปกลั่นกับวอดก้า จากนั้นผสมน้ำมะเขือเทศสีใสที่ผ่านกระบวนการ Clarification แล้วตบท้ายด้วยสเปรย์กลิ่นทาบาสโก้ แก้วนี้จิบแล้วได้ฟีลพิซซ่าพร้อมรสเผ็ดร้อนบางๆ ว่าแล้วก็น่าสั่งพิซซ่ามาแกล้มด้วย

แก้วที่สามยังคงวนเวียนกับหมวด City ทีมงานเลือกนำเสนอรัมเบสค็อกเทล โดยรัมนำไปผ่านกระบวนการ Re-distillation กับเกลือ Yuzu Kosho จนออกมาเป็นค็อกเทลหน้าตาคล้ายไฮบอล จิบง่าย สบายๆ เหมาะสำหรับทุกมู้ด นั่งหน้าบาร์แล้วสั่ง Tokyo City (440 บาท) ได้เลย

French Bellini (480 บาท) จากหมวด Coexistence เป็นแก้วที่ทวิสต์ค็อกเทลตัวที่ชื่อว่า Bellini ที่ผสมพีชพิวเรเข้ากับสปาร์กลิงไวน์ ซึ่งรสชาติจะติดหวานนำ แต่สำหรับ French Bellini แก้วนี้ใส่องุ่นเขียวพิวเร แล้วตามด้วยจินสัญชาติฝรั่งเศสที่ทำจากองุ่น ก่อนที่จะท็อปด้วยดรายสปาร์กลิงไวน์จากสเปน เหมาะจิบยาวๆ ชิลๆ ตลอดทั้งคืน

Good for

ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่ทำงานอยู่แถวนี้ ขาจร บาร์ฮอปเปอร์ นักท่องเที่ยว หรือใครก็ได้ที่ In the mood for drink ลองกดลิฟต์ขึ้นมาที่ชั้น 40 เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในหนึ่งจิบได้เลย ไม่เพียงเท่านี้ หากคุณมีขวดในดวงใจก็สามารถสั่งแล้วฝากไว้จิบต่อครั้งหน้าก็ได้