Living- (Un) Pain: ใครๆ ก็ต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่หัวใจสั่นไหวกับรักแรก ความรู้สึกดีๆ ที่เราเคยมีให้กัน มันทำให้เราหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น แต่เมื่อความรักครั้งนั้นต้องจบลง ความเจ็บปวดที่ตามมาก็ไม่ต่างจากแผ่นดินไหวที่รุนแรงที่สุด สำหรับเหล่า Gen Z ที่เติบโตมากับโลกโซเชียล ความรักครั้งแรกมักจะถูกขยายใหญ่ขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ทำให้ความรู้สึกต่างๆ ถูกขยายออกไปจนเกินจริง เมื่อต้องเผชิญกับความผิดหวัง จึงอาจทำให้เราจมอยู่กับความเสียใจและไม่สามารถก้าวต่อไปได้
สำหรับวัยรุ่นคนไหนที่เพิ่งเจ็บปวดกับ Toxic Love มาสดๆ ร้อนๆ บทความนี้จะเป็นเหมือนฝ่ามืออุ่นของพี่สาวที่จะพาน้องๆ ก้าวข้ามความผิดหวังในครั้งนี้ ชวนให้มารีเซ็ตชีวิตกันใหม่ โดยเปลี่ยนน้ำตาจาก Toxic Love เป็นแรงผลักสู่ความสำเร็จกันดีกว่า และถ้าใครรู้สึกว่าอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนความทุกข์ใจให้เป็นพลังบวกใหม่ๆ ในชีวิต เรามีเวิร์กช็อปเจ๋งๆ ที่จะช่วยให้วัยรุ่นได้ทำความรู้จักกับตัวเองอย่างเข้าใจในด้านต่างๆ ทั้งการเรียน การทำงาน ความรัก ความสัมพันธ์ พร้อมวิธีวางแผนชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ผ่านศาสตร์ Designing your life กับ #APClub22 โดย ดร.เพิ่มสิทธิ์ นำประสิทธิผล ที่จะมาแนะวิธีเปิดใจให้รู้จักกับตัวเองมากขึ้นใน Sharing Session กับแขกรับเชิญพิเศษอีกมากมาย สามารถลงทะเบียนฟรีที่ลิงก์หน้าโปรไฟล์ @thestandard.life ได้เลย
ทำไมรักแรกของ Gen Z ถึงเจ็บปวดนักหนา?
เหตุผลหนึ่งคือประสบการณ์ที่ยังน้อย Gen Z อาจยังไม่เข้าใจความรักอย่างถ่องแท้ การตัดสินใจต่างๆ อาจเกิดจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล และเป็นไปได้ว่าความคาดหวังที่สูงเกินไปก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบแน่นอน เมื่อความเป็นจริงไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จึงเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรง โลกโซเชียลก็มีส่วนไม่น้อย การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ Gen Z รู้สึกว่าความรักของตัวเองไม่ดีพอ และสุดท้ายการยึดติดกับความรู้สึกเก่าๆ ก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถก้าวต่อไปได้
ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยของ Lucy Brown นักประสาทวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Yeshiva พบว่า สมองของคนที่เพิ่งอกหักทำงานคล้ายกับคนที่กำลังถอนยาเสพติด นั่นอธิบายได้ว่าทำไมเราถึงรู้สึกเจ็บปวดและทรมานขนาดนี้ สารเคมีในสมองมีส่วนสำคัญอย่างมาก เมื่อเรารักใครสักคน สมองจะหลั่งสารโดพามีนและออกซิโทซิน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เรารู้สึกดี มีความสุข และผูกพันกับคนคนนั้น เมื่อความรักจบลง การหลั่งของสารเหล่านี้ก็ลดลง ทำให้เรารู้สึกหดหู่ เศร้า และเหมือนขาดอะไรไป
แต่ไม่ต้องกังวลไป นี่คือวิธีรับมือกับการอกหัก
เมื่อมั่นใจว่า ‘อกหักแน่ๆ แล้ว’ หรือ ‘เขาเทเราแล้วจริงๆ’ สิ่งแรกที่ควรทำคือยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อย่าพยายามปฏิเสธหรือกดมันเอาไว้ ให้เวลาตัวเองได้เศร้าเสียใจเต็มที่ แต่อย่าปล่อยให้ยืดเยื้อนานเกินไป การหาคนพูดคุยก็เป็นสิ่งสำคัญ บอกเล่าความรู้สึกให้กับเพื่อนสนิท ครอบครัว หรือผู้ที่เราไว้ใจฟัง การได้ระบายความรู้สึกจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้มาก
การดูแลตัวเองก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม กินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ทั้งร่างกายและจิตใจของเราแข็งแรงขึ้น การหากิจกรรมที่ชอบทำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ ที่สำคัญ อย่าลืมเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่ก็เป็นบทเรียนชีวิตที่สำคัญที่จะช่วยให้เราเติบโตและเข้าใจความรักมากขึ้นในอนาคต
เปลี่ยนน้ำตาจาก Toxic Love เป็นแรงผลัก
การเปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นพลังบวกเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เราสามารถเริ่มต้นด้วยการตั้งเป้าหมายใหม่ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน หรือการพัฒนาตนเอง การลงทุนกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือการดูแลสุขภาพ ก็เป็นวิธีที่ดีในการสร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเอง
การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน การมีระบบสนับสนุนที่ดีจะช่วยให้เราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ การฝึกมองโลกในแง่ดีและมองหาโอกาสใหม่ๆ ก็เป็นทักษะที่จำเป็น แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การพยายามมองหาด้านบวกในทุกสถานการณ์จะช่วยให้เรามีมุมมองที่สดใสขึ้น ที่สำคัญคืออย่าลืมให้อภัยตัวเอง ทุกคนย่อมทำผิดพลาดได้ อย่าตำหนิตัวเองมากเกินไป การยอมรับข้อผิดพลาดและเรียนรู้จากมันคือก้าวสำคัญในการเติบโต
รู้ไหมว่างานวิจัยจาก Journal of Positive Psychology ในปี 2013 พบว่า คนส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 11 สัปดาห์ในการฟื้นตัวจากการเลิกรา ดังนั้นอย่าเพิ่งท้อใจหากรู้สึกว่าตัวเองยังไม่หายเจ็บปวด ให้เวลากับตัวเอง และเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในที่สุด ให้คิดเสียว่าการอกหักเป็นเหมือนการกดปุ่มรีเซ็ตชีวิตให้เราได้เริ่มต้นใหม่ เราสามารถเลือกที่จะจมอยู่กับความเสียใจ หรือจะลุกขึ้นมาสู้เพื่ออนาคตที่สดใสกว่าก็ได้ จำไว้ว่าน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของเรา เมื่อเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ เราจะแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่เข้ามา
ความรักครั้งแรกอาจทำให้เราเจ็บปวด แต่ความสำเร็จที่เราสร้างขึ้นเองจะทำให้เรามีความสุขที่ยั่งยืนกว่า อย่าปล่อยให้ความรักครั้งเดียวมาทำลายชีวิตทั้งชีวิตของเรา จงลุกขึ้นมาสร้างสรรค์ชีวิตใหม่ และพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเราเก่งกว่าที่คิด การรีเซ็ตชีวิตหลังความรักที่ผิดหวังไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยความพยายาม ความอดทน และการมองโลกในแง่บวก เราจะสามารถเปลี่ยนน้ำตาจาก Toxic Love ให้กลายเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอน