×

อายุ 15 จิ้มหน้า? ชีตมาสก์สิ้นเปลือง? แปะเทปหน้าตึง? ตีแผ่ทุกวิธีอัปผิวสวยกับ หมอต่อ-นพ.ภาณุพงศ์ ภัทรกุลทวี

24.02.2025
  • LOADING...
หมอต่อ

“วันนี้ไม่ได้ทาบลัชม่วง” หมอต่อตอบพลางอมยิ้มหลังจากที่เราถามถึงสีบลัชที่ใช้ เชื่อว่าถ้าใครที่ชอบฟังเรื่องสวยๆ งามๆ โดยเฉพาะการดูแลผิวแล้ว ช่อง TikTok ของ หมอต่อ-นพ.ภาณุพงศ์ ภัทรกุลทวี หรือที่ใครต่างเรียกกันติดปากว่า #หมอต่อบลัชม่วง จะต้องอยู่ในลิสต์ Following กันอย่างแน่นอน 

 

 

ปัจจุบันหมอต่อดำรงตำแหน่งแพทย์ประจำและผู้ร่วมก่อตั้ง Dermatige Aesthetics ที่ยังคงตอกย้ำความสำเร็จด้วยการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในไทย อีกทั้งยังเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์ด้านความงาม รวมถึงเจ้าของธุรกิจเมกอัพและสกินแคร์

 

 

เส้นทางชีวิตของหมอต่อดูโอบล้อมไปด้วยเรื่องของความงามอย่างชัดเจน แต่หากย้อนไปในวันวาน เรากลับพบว่าหมอต่อไม่ใช่คนที่ดูแลตัวเองอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ และหมอต่อเองก็อาจไม่ได้มีคำนำหน้าเป็น ‘นายแพทย์’ ด้วยเช่นกัน

 

 

วันนี้เราเลยขอพาชาว LIFE มาทำความรู้จักตัวตนของหมอต่อให้มากขึ้น รวมทั้งล้วงลึกทุกประเด็นที่ต้องรู้ถ้าอยากมีผิวสวยเฮลตี้ แลดูอ่อนกว่าวัย (เหมือนเจ้าตัว) มาดูกันว่าหมอต่อจะมีเกร็ดความรู้และเคล็ดลับดูแลผิวอะไรดีๆ มาฝากกันบ้าง

 

 

อะไรที่ทำให้หมอต่อตัดสินใจเรียนหมอ

 

จริงๆ โดนแม่บังคับตั้งแต่แรก เพราะว่าคุณแม่เป็นพยาบาล คุณแม่อยากให้เรียนหมอ ส่วนคุณพ่ออยากให้เรียนบริหารธุรกิจ เพราะว่าที่บ้านทำเกี่ยวกับไฟแนนซ์ ตอนนั้นสอบติดอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย จริงๆ นี่อยากทำเกี่ยวกับ Aviation แบบสจวร์ด กัปตัน อะไรอย่างนี้ คุณแม่ก็ขอร้องว่า อย่างน้อยเรียนจบหมอมาแล้วอยากเปลี่ยนใจไปสายอื่นค่อยตัดสินใจก็ได้ เราก็โอเค ตามคุณแม่ เพราะเราก็เป็นลูกคนเดียว

 

คุณแม่รีเควสไหมว่าต้องเป็นหมออะไร

 

ไม่ได้รีเควส ขอแค่หมอไว้ก่อน จริงๆ ตอนนั้นที่เข้าไป อยากเรียนจิตแพทย์นะครับ เพราะรู้สึกว่าคนไข้จิตเวชค่อนข้างน่าสงสาร แล้วก็เป็นสายที่ขาดแคลนเนอะ รวมทั้งที่บ้านต่อ คนรอบตัวต่อก็มีหลายคนที่เป็นโรคเครียด ซึมเศร้า คนไข้กลุ่มนี้จะน่าสงสารมากๆ โรคทางกายเรารักษาหายได้ แต่ว่าโรคทางใจคนสมัยก่อนเขาจะไม่กล้าไปหาคุณหมอ เขารู้สึกว่าฉันเป็นบ้าหรือเปล่า อะไรแบบนี้

 

แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่สังคมเรารณรงค์ด้วยซ้ำ

 

จริง ไปเถอะ ทุกคนน่าจะมีจิตแพทย์ประจำตัวด้วยซ้ำ เพราะบางทีเราเครียดอะไร เราจัดการปัญหานั้นไม่ได้ เราก็แค่ปรึกษา ติดตามแผน เขาก็จะมีทางออก หรือถ้าเขาไม่มีทางออก เขาก็จะมีวิธีพูดให้สบายใจนะครับ

 

แล้วตอนเรียนเป็นอย่างไรบ้าง 

 

โอ้โห ตอนนั้นเรียนหนักมาก เรียนหมอเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก โดยเฉพาะปี 1 2 3 อยากจะลาออกเป็นร้อยรอบ นี่ขนาดคนที่เรียนเก่งที่สุดในรุ่นตอนนี้เป็นอาจารย์แล้วก็ยังมีความคิดที่จะลาออกเลย เรียนหมอมันหนักจริงๆ ครับ แต่ปี 4 5 6 ความสนุกมันเริ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าเราได้ดูคนไข้จริงๆ มันจะสนุกกว่าเรามานั่งอ่านหนังสือครับ

 

 

ตอนปี 4 หมอต่อได้เริ่มฝึกอะไรที่ทำให้รู้สึกสนุกในตอนนั้น

 

ตอนนั้นชอบหู คอ จมูก มาก มันจะเป็นวอร์ดเล็กๆ มีอุปกรณ์เยอะ ได้ส่องนั่นส่องนี่ ตอนเลือก Elective เราก็เลือกหู คอ จมูก แต่รุ่นพี่ก็จะบอกว่า อุ๊ย มันน่าขยะแขยงนะ แต่เราไม่ได้รู้สึกขยะแขยง แต่รู้สึกชอบเพราะตอนเป็นเด็กเราป่วยบ่อย จะมีคุณหมอหู คอ จมูกคนหนึ่งที่รักษาเราประจำ เหมือนเรามีเขาเป็นไอดอล เพราะเป็นคุณหมอที่อ่อนโยนและใจดีมาก แต่ว่าทำข้อสอบมาได้ C+ ฉันน่าจะไม่รอดแล้วล่ะ (ยิ้ม) 

 

 

รองลงมา ตอนนั้นอยู่ปี 6 เหนื่อยมาก ปี 6 เขาเรียกว่า Extern นะ Extern นี่ทำทุกอย่าง คือคนที่จบแพทยศาสตรบัณฑิตสามารถสั่งยา เขาจะสั่งการรักษาคนไข้ได้ แต่ว่า Extern คือใกล้จะเป็น เพราะฉะนั้นได้ฝึกทุกอย่าง

 

สมมติจะ CT Scan ช่องท้องคนไข้ เราต้องเดินลงไปขอหมอเอ็กซเรย์เอง พอเขาอนุญาต เราต้องเข็นเปลลงไปเอง เพราะบางทีคนไม่พอ ปรากฏว่าห้องเอ็กซเรย์น่ะมันเปิดประตูไว้ แล้วเราเดินเข้าไป “พี่ครับ มาแล้วครับ” แบบอ่อนแรงมาก พี่เขานั่งกินบราวนีอยู่หน้าคอม โอเคครับน้อง ผลอ่านพรีลิมออกอีกหนึ่งชั่วโมงครับแบบโอ๊ย ทำไมสาขานี้มันสบายแบบนี้วะ คือเราหัวฟูไม่ได้นอนทั้งคืน เขามาทำงาน เขากินบราวนี แล้วเขาก็ต๊อกแต๊กๆ (ทำท่าพิมพ์) จริงๆ เขาอยู่เวรก็หัวฟูแหละ แต่รู้สึกว่า นี่แหละ สาขาที่ฉันอยากจะเรียนคือหมอรังสี

 

หลังจากนั้นเราก็ไขว่คว้านะ คือหมอส่วนใหญ่ในประเทศ จบ 6 ปี แล้วจะต้องออกไปใช้ทุนก่อนประมาณ 3 ปี แต่ว่าจะมีหมอที่ฉลาดล้ำลึกมากๆ เขาจะได้เรียนต่อเลย ซึ่งเป็นส่วนน้อย ต่อก็ได้ทุนของเอ็กซเรย์ แต่ว่าปีนั้นคนเรียนเอ็กซเรย์เยอะมาก ก็ไม่ได้ เราก็เลยรู้สึกว่าไปอยู่บ้านกับพ่อกับแม่ ไปรับใช้ประชาชนจนอิ่มตัว แล้วก็อยากจะทำตามความฝัน เพราะต่อเป็นคนชอบกรุงเทพฯ มาก

 

คุณพ่อบอกว่า เธอลาออกก็ไปทำคลินิกความงามแถวบ้านสิ เชียงใหม่ เชียงราย แต่ว่าความฝันคือกรุงเทพฯ ตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ สอบเสร็จเมื่อไรมากรุงเทพฯ ตลอด ชอบแสงสี ความศิวิไลซ์

 

 

พูดถึงเรื่องความงาม หมอต่อเริ่มชอบมาตั้งแต่เมื่อไร

 

จริงๆ ไม่ได้ชอบ ตอน ม.1 ปล่อยเนื้อปล่อยตัวมากจนหน้าเป็นสิว ก็เลยไปหาหมอผิวหนัง แต่ตอนนั้นก็ได้ยาหมอผิวหนังมาใช้ รู้สึกว่าไม่ได้ดีขึ้น คุณแม่ก็เลยพาไปเคาน์เตอร์แบรนด์ญี่ปุ่น แล้วก็ได้มาเป็นเซ็ต เราก็เริ่มดูแลตัวเอง ก็เริ่มดีขึ้นแล้ว  

 

แต่จุดเปลี่ยนคือไปเรียน รด. ตอน ม. 4 แล้วหน้าดำมาก คือตากแดดทั้งวัน ด้วยความที่เราไม่ค่อยได้โดนแดด กลับบ้านมาหูลอกออกมาเป็นแผ่น เกิดมาไม่เคยคิดว่ามันจะมีแบบนี้ในชีวิต คือแดดมันแรงมาก เลยทากันแดดมาตั้งแต่นั้น จากสกินแคร์มันก็เริ่มลามมาเมกอัพ

 

ตอนนั้นที่เริ่มใช้สกินแคร์ครั้งแรก เพราะคุณแม่เลยใช่ไหม 

 

ใช่ครับ ตอนนั้นอายุประมาณ 14 ปี คุณแม่มีส่วนสำคัญมาก จนตอนนี้เรากลายเป็นส่วนสำคัญในการเลือกผลิตภัณฑ์ให้คุณแม่

 

แล้วเป็นคนชอบอ่านเว็บพันทิปอยู่แล้วครับ เมื่อก่อนอ่านทุกกระทู้เลย หลงใหลในความงามมาก

 

หมอกลางเคยแชร์ให้ฟังว่าหมอต่อเริ่มทำหัตถการตั้งแต่อายุ 20 ปี อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หมอต่อเข้าวงการ

 

คนแรกของรุ่นเลยครับ ตอนนั้นประมาณปี 3 ขึ้นปี 4 อยากทำจมูกมาก คุณแม่ไม่ให้ทำ ก็เลยแก้แค้นเอาเงินไปฉีดกรามเลย แล้วนั่งรถกลับบ้านที่พะเยา คุณแม่โกรธมาก! ด่าตั้งแต่เชียงใหม่ถึงพะเยา แต่มันเอาออกไม่ได้แล้วนะ เสริมจมูกซิลิโคนยังดึงออกได้ แต่โบมันดึงออกไม่ได้เพราะมันเป็นน้ำไง 

 

ตอนนั้นเป็นจุดเปลี่ยนเลย คือหน้าเรียวมาก มันมหัศจรรย์มากเลยครับ แล้วโบกรามตอนนั้นแพงมาก โบกรามเมื่อก่อนเกือบหมื่น หลังจากนั้นเสพติดการฉีดโบมาก ฉีดมาทุกยี่ห้อเลย  

 

 

คิดอย่างไรกับความเห็นที่ว่า “ถ้าทำหัตถการตั้งแต่เด็ก ตอนแก่จะทำแล้วไม่ได้ผล”

 

ไม่จริง เพราะมันไม่ใช่การดื้อยา คอนเซปต์มันคือ ผิวคล้อย เราทำไปเพื่อกระตุ้นให้มันหด เกิดการสร้างคอลลาเจน เพราะฉะนั้นไม่ได้เกี่ยวกัน  

 

แต่การฉีดโบนั้นถ้าฉีดตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วฉีดไม่ถูกต้อง ฉีดเยอะบ่อยๆ แบบไม่จำเป็น มีโอกาสดื้อได้ นี่เคยทำบ่อยเกินมาแล้ว ทำทุก 2 เดือน คือคลั่งการฉีดโบมาก

 

เคยฉีดจนเราเคี้ยวข้าวได้น้อยมาก กินน้ำแล้วน้ำรั่วออกมาเลย นี่คือเกิดขึ้นจริงนะครับ ตอนนั้นรู้จักกับหมอที่เปิดคลินิกความงาม เขาด่าว่า พี่ว่าน้องต่อมาบ่อยเกินแล้ว  

 

หมอทำอย่างไรให้ตัวเองเลิกเสพติด

 

ก็ไม่มีใครฉีดให้ (หัวเราะ) แล้วเขาก็ฉีดเราเจ็บๆ  

 

แล้วหัตถการที่ถูกและดีมีจริงไหม

 

มีจริงครับ อย่างโบธรรมดาเนี่ยลงทุนน้อย เป็นการแก้ที่ปลายเหตุก็จริง แต่ฉีดแล้วตึงเลย ในงบแค่หลักพัน   

 

บางคลินิกอาจมีราคาหลักร้อย

 

อาจต้องระวังนิดหนึ่งครับ ราคาไม่ใช่ว่าถูกแล้วไม่ดีนะครับ แต่เอาราคาที่มันสมเหตุสมผลดีกว่า อย่าไปแพงเวอร์ ยุคนี้คนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เยอะ ก็ให้พิจารณาแล้วกันครับว่าราคากลางๆ มันเท่าไร

 

แล้ววันหนึ่งก็ได้มาเปิดคลินิกของตัวเอง

 

ตอนมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็ทำงานคลินิกที่เป็นเชนใหญ่มากที่หนึ่ง แล้วเราก็จะย้ายงาน บังเอิญมาเจอหมอกลางที่ฟิตเนส เราก็ย้ายไปหลายๆ ที่ที่หมอกลางแนะนำ สุดท้ายแล้วก็มาเปิดคลินิกด้วยกัน ชีวิตผมนี่บ้าระห่ำมากเลย มากรุงเทพฯ ออกมาอยู่คลินิกที่หนึ่ง ลาออกไปอีกที่หนึ่ง ลาออกแล้วก็ไปเวียนพาร์ตไทม์ แล้วก็เปิดคลินิกของตัวเอง ทั้งหมดเกิดขึ้นในปีเดียว  

 

เรียกว่าสานฝันตัวเองเลยไหม

 

สานฝันนะครับ จริงๆ ต้องบอกว่าคุณแม่ คำเมืองเรียกว่า ปากปิ๊ด คือเหมือนวาจาสิทธิ์ เพราะเคยส่งคุณแม่ไปทำหน้ากับรุ่นพี่คนหนึ่ง ตอนนั้นเขาเปิดคลินิกเองที่เชียงใหม่ คุณแม่บอก “อีกหน่อยเธอน่าจะมาทำแบบนี้นะ ฉันจะได้ทำหน้าแบบบุฟเฟต์ ตอนนั้นต่อก็ โอ๊ย ฉันไม่ทำหรอก ฉันเบื่อแล้ว ฉันจะเป็นข้าราชการ ฉันจะพิมพ์ต๊อกแต๊กๆ “อีกหน่อยฉันว่าเธอน่าจะไปทำงานกรุงเทพฯ เนาะ” คือพูดอะไรเป็นจริงทุกอย่าง

 

ตอนนี้กลัวอย่างเดียว กลัวเขาพูดว่า คนแถวบ้านเปลี่ยนจากชอบผู้ชายไปแต่งงานกับผู้หญิง กลัวเขาพูดแล้วมันเป็นจริง เพราะเขาพูดอะไรเป็นจริงหมด (หัวเราะ)

 

 

ในฐานะที่หมอต่อมีประสบการณ์ตรง จริงไหมที่หากเราเริ่มทำหัตถการไวเท่าไรจะยิ่งสตาฟฟ์หน้าเราให้เด็กได้นานขึ้น  

 

ไม่จริงเลย ต้องทำตามวัย ต่อเนี่ยจิ้มโบตั้งแต่อายุ 20 ปีใช่ไหมครับ เราก็รู้สึกว่ามันมีส่วนจริง เพราะว่าบางทีริ้วรอย ถ้าเราขยับเยอะมันก็เหมือนกับเราพับหนังสือ ยิ่งเราพับเยอะ รอยมันก็ยิ่งฝังลึก และยิ่งเราอายุเยอะพวกคอลลาเจนใต้ผิวมันหายไป มันก็จะยิ่งเห็นชัดขึ้น 

 

การฉีดสตาฟฟ์ไว้เนี่ยช่วย แต่ว่าไม่ใช่ว่า โอ้โห อายุ 20 ปี มายกกระชับจัดเต็ม อันนี้เกินวัย เพราะฉะนั้นทำสมกับวัยดีกว่าครับ

 

แสดงว่าอายุ 20 ปี มาฉีดโบได้

 

ผมว่าอายุ 20 ปีทำได้ แต่ทำในปริมาณที่พอดี ไม่ใช่ว่าฉีดจนแข็งเป๊ก เริ่มน้อยๆ พอ บางคนนะอายุ 20 ต้นๆ มาฉีดเติมเต็มแล้ว ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เร็วกว่าวัยมาก โอเค ถ้าหน้าคุณสั้น รู้สึกไม่มั่นใจ เติมคางพอได้นะ แต่ถ้าเติมปากจนล้น เติมใต้ตา ทำพวกยกกระชับ คือเรายังไม่ได้มีสัญลักษณ์ของความร่วงโรย ผมมองว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม เด็กๆ เอาเงินไปลงทุนกับสกินแคร์ดีกว่านะ ดีกว่ามาเข้าคลินิกความงาม  

 

บางคนอายุ 15 ปีจะมาฉีดเติมเต็มแล้ว ผมให้เขากลับบ้านเลย ทำไปน้องเขาก็ไม่ได้อะไร พ่อแม่ก็อยากให้ทำ ผมคิดว่ามันเป็นการปลูกฝังค่านิยมที่ผิดนะ ผมอยากให้ทุกคนสวยขึ้นนะ แต่อยากให้สวยสมวัย

 

 

ถ้าให้หมอต่อแนะนำหัตถการที่ควรเริ่มในแต่ละช่วงวัย หมอต่ออยากแนะนำอะไรบ้าง  

 

ถ้าเป็นเลเซอร์​หลุมสิว ฉีดโบ ก่อนอายุ 25 ปีทำได้ แต่พออายุ 25 ปีแล้วคอลลาเจนมันจะเริ่มผลิตลดลง ถ้าจะทำอะไรเกี่ยวกับการกระตุ้นคอลลาเจนจะสมเหตุสมผล ทำพวกเครื่องยกกระชับเสริมได้

 

ถ้าเลข 3 อาจมีกลุ่มฉีดเข้ามา ขึ้นอยู่กับว่ามีปัญหาตรงไหน ถ้าน้อยๆ ก็อาจเป็น Biostimulator ถ้าร่องลึกอาจต้องเติมพวกสารเติมเต็ม แต่ถ้าเลข 4 จะต้องดูอีกทีหนึ่ง ถ้าปัญหาเยอะก็ต้องค่อยๆ แก้ทีละปัญหา แต่ส่วนใหญ่จะต้องทำเกือบทุกหัตถการ 

 

 

คิดอย่างไรกับการที่เด็กเริ่มใช้สกินแคร์ประเภท Anti-aging ก่อนวัย

 

ไม่แนะนำ ช่วงก่อนมีข่าวเกี่ยวกับ Sephora Kids เด็กอายุ 15-16 ปี ไป Sephora เพื่อถามหาเรตินอล อยากให้อินฟลูเอ็นเซอร์ออกมาให้ความรู้ด้วยว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับเรตินอล อย่างที่บอกไปว่าหลังอายุ 25 ปีคอลลาเจนจะเริ่มตก เพราะฉะนั้นเราจะไปใช้ก่อนอายุ 25 ปีทำไม เราต้องใช้ให้เหมาะกับช่วงวัย 

 

ไม่ใช่ว่าอายุ 15 ปี พ่อแม่รวย ใช้เซรั่มขวดละ 15,000 บาท มันก็เกินความจำเป็นใช่ไหม เหมือนเราเอาไข่ปลาคาเวียร์ไปโยนใส่หม้อต้มขาหมู กินไปมันก็ไม่รู้สึก เพราะฉะนั้นใช้ที่เหมาะกับช่วงวัย กันแดด เซรั่ม ให้ความชุ่มชื้นก็พอ พวกนี้ยิ่งเร็วยิ่งดี 

 

แปะเทปดึงหน้าตึง ได้ผลจริงไหม

 

ถ้าเป็นเทปที่เป็นสกินแคร์ เชียร์ของแบรนด์เกาหลี แต่ถ้าเป็นเทปพันท่อแตกอะไรอย่างนี้ กาวมันระคายเคืองผิวเรา ดึงแควกออกมาเนี่ย ทำร้ายผิวมาก

 

แล้วมันตึงจริงไหม

 

ก็ตึงแค่ตอนนั้นน่ะ ตึงด้วยแรงดึง แต่ว่ามันไปแอ็กชันอะไรกับชั้นผิวเราไหม ก็ไม่ ถ้าใช้ชั่วคราวสำหรับเมกอัพ อะไรแบบนี้ได้  

 

ด้วยความที่มีตัวเลือกคลินิกเยอะมาก อยากให้หมอต่อแนะนำทริกสำหรับคนที่อยากเข้าคลินิกแบบไม่เสี่ยง

 

คลินิกส่วนใหญ่จะทำแบบนี้ คือให้ตรวจกล่องยาฉีด อย่างพวกเครื่องเลเซอร์ก็มีให้สแกนข้อมูลบริษัท เช็กว่าเป็นเครื่องจริงหรือเปล่า คนไข้ต้องรู้ว่ามันเป็นสิทธิ์ของเรา อย่าไปเกรงใจ ไม่กล้าถาม ราคาก็ต้องสมเหตุสมผล ถูกไปไม่ดี แพงเวอร์ไปก็ไม่ใช่ว่าจะได้ของจริง 

 

ถ้าเราจะไม่พึ่งหัตถการอะไรเลยในชีวิต หมอต่อคิดว่าเราจะมีผิวที่ดีและเนียนได้ไหม 

 

คิดว่าได้ แต่น้อย ถ้าอายุเลข 3 เลข 4 แล้วไม่เข้าคลินิกเลย ผมว่าเมนเทนให้เท่ากับคนที่เข้ายาก เพราะว่าพวกสกินแคร์ FDA เขารับรองมาว่ามันซึมแค่ถึงชั้น Epidermis คือชั้นผิวหนังกำพร้า อาจมีสารสกัดบางตัว เช่น วิตามินซี เรตินอล กรดต่างๆ ไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้บ้าง แต่ไม่มีทางไปถึงชั้นกล้ามเนื้อชั้น ไขมันได้ เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ต้องพึ่งการฉีดบ้างครับ 

 

แต่เราก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องมานะครับ แค่จะบอกว่าในคนอายุเท่าๆ กัน คนที่เข้าคลินิกจะมีแนวโน้มที่จะหน้าเด็กกว่า ด้วยข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ว่า สกินแคร์มันไม่ได้ซึมเข้าชั้นกล้ามเนื้อครับ

 

หมอต่อคิดอย่างไรกับ Beauty Gadget ที่เราสามารถใช้เองได้ที่บ้าน

 

ผมสนับสนุนนะ คือเราคงไม่อยากจะเข้าคลินิกทุกวัน อย่างผมทำหัตถการแค่ปีละครั้ง สองครั้ง มากสุดก็สาม แต่มันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่เมนเทนที่บ้าน ต่อเป็นคนที่ Beauty Gadget เยอะมากนะครับ เครื่องมาสก์หน้า เครื่องนวด แต่มันก็มีข้อควรระวังเหมือนกัน เครื่องนวดหน้าที่สั่นๆ อย่าเปิดแรง เพราะว่ากล้ามเนื้อมันมีทั้งกล้ามเนื้อยกและกล้ามเนื้อตก ทำที่บ้านให้ใช้ไฟอ่อนๆ

 

ให้หมอต่อเคาะ Beauty Gadget ที่จำเป็นสำหรับคนที่อยากเริ่มใช้

 

ผมว่าถ้าจะซื้ออันเดียว มันจะมีแบรนด์ญี่ปุ่นที่ผมเคยลง ใช้ได้ทั้งหมด ตั้งแต่คลีนซิ่ง โหมด Moist, Boost และ Cooling ค่อนข้างคุ้ม  

 

พูดถึงเรื่องการล้างหน้า บางคนคิดว่าตัวเองหน้าดีแล้ว แต่สิวมันก็ยังเกิดได้

 

ทุกคนครับ แม้แต่กระทั่งผมเองก็เป็นสิว ไม่ว่าเราจะดูแลทำความสะอาดหน้าดี ทาสกินแคร์ดี อย่างไรก็ตาม มันแค่ปัจจัยภายนอก สิวมันเกิดขึ้นจากปัจจัยภายในผสมกับพันธุกรรม ความเครียด หรือว่าฝุ่น PM2.5 ก็ทำให้เกิดสิวได้ เพราะฉะนั้นสิวเป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ทำให้โอกาสเกิดน้อยลงได้ด้วยการใช้สกินแคร์นี่แหละ

 

จากสภาพฝุ่น PM2.5 ในช่วงนี้ หมอต่อคิดว่าเราควรต้องปรับสกินแคร์รูทีนด้วยไหม

 

ควรจะปรับ อย่างเช่น ครีมกันแดดมันไม่ได้กันแดดอย่างเดียว ครีมกันแดดดีๆ บางยี่ห้อเขามีเทคโนโลยีในการเคลือบผิว หมายความว่าพอมันเคลือบไปฝุ่นก็มาเกาะแทน แทนที่มันจะแทรกซึมลงไปอยู่ในผิวมันก็เกาะอยู่บนฟิล์มนี้ พอเรากลับบ้านเราก็แค่ล้างออก 

 

 

แล้วยิ่งล้างหน้าบ่อยๆ ผิวยิ่งแห้งจริงไหม

 

จริงๆ เราควรจะล้างหน้าให้สะอาด แต่ว่าต้องเลือกโฟม เลือกคลีนซิ่งให้เหมาะกับสภาพผิว ไม่ใช่ว่า โอ้โห ผิวแห้งอยู่แล้วใช้โฟมแบบเอี๊ยดอีก จากผลดีก็จะกลายร้าย 

 

เห็นว่าหมอต่อใช้ Double Cleansing ตั้งแต่อายุ 15 ปี

 

ดีมากเลย ต่อใช้ตั้งแต่อายุ 15 ปี เพราะว่าตอนนั้นไปซื้อกันแดดแบรนด์หนึ่ง เขาบอกต้องใช้ออยล์ล้างออกแล้วใช้โฟม เราก็อ๋อ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ หลังจากนั้นก็ใช้ Double Cleansing ตลอดมาถึงวันนี้เลย

 

เคาะหัตถการที่จึ้งสำหรับคนที่อยากผิวดีหน้าเด็กในปีนี้

 

ส่วนตัวชอบ Focus Ultrasound ครับ เพราะเจ็บน้อย ส่วนเรื่องงานผิว ผมชอบการทำ Microneedle ครับ

 

คิดอย่างไรกับเทรนด์ Skinimalism  

 

ช่วงก่อนคนใช้ของแพงๆ ใช้เยอะคือดี เป็นไอดอล หลังๆ ต่อทำงานหนักจนเริ่มมาใช้สกินแคร์แค่ไม่กี่ขั้นตอน เน้นเป็น Active Ingredient ปรากฏว่าผิวดีขึ้น เห็นผลมากกว่า หน้าไม่อุดตันด้วย 

 

แล้วการที่เรามีสกินแคร์เยอะๆ ก็ไม่มีใครใช้หมด ไม่มีใครใช้ทัน ก็ต้องทิ้ง เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมอีก

 

เคาะสกินแคร์ที่จำเป็นต้องมีติดโต๊ะเครื่องแป้ง

 

ถ้าแนวของผมนะ ต้องมีน้ำตบ เซรั่ม มอยส์เจอไรเซอร์ และกันแดด เพราะว่าคนหนึ่งไม่ได้มีแค่ปัญหาผิวแค่ปัญหาเดียว สมมติน้ำตบเป็น BHA ก็ช่วยเกี่ยวกับความมัน สิว การอุดตัน เซรั่มเราก็อาจจะใช้ Brightening แล้วมอยส์เจอไรเซอร์เราก็ใช้เป็น Anti-aging ได้ แต่ถ้าไปใช้เซรั่มอันเดียวแก้ได้ทุกปัญหาผิว ไม่มีในโลกหรอก

 

หมอต่อมีเทคนิคในการลงสกินแคร์ส่วนตัวที่ทำแล้วผิวดีไหม

 

ต้องใจเย็น รอให้มันแห้งก่อน บางคนบีบมาแล้วถูๆ มันเป็นการทำร้ายผิว การทาสกินแคร์เร็วๆ ก็เหมือนเรากินข้าวเร็วๆ มันก็จุก ติดคอใช่ไหมครับ เหมือนกัน ผิวเราก็ไม่ชอบ รอให้แห้งก่อน เพราะกลไกแต่ละอันไม่เหมือนกัน น้ำตบ เซรั่ม อาจต้องการการซึม แต่มอยส์เจอไรเซอร์เราทาเคลือบปิดผิว ไม่ให้ความชุ่มชื้นระเหยออกไป 

 

ช่วงที่ผ่านมาประเด็นเรื่องของชีตมาสก์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในโลกออนไลน์ว่าเป็นสิ่งสิ้นเปลือง ไม่จำเป็น ในฐานะที่หมอต่อเองทำแบรนด์ชีตมาสก์ด้วย มีความเห็นอย่างไร

 

จริงๆ ผมเป็นคนชอบมาสก์หน้ามากครับ ผมก็ต้องบอกว่า การจะฟังข้อมูลอะไรพวกนี้ต้องฟังจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เพราะหลายๆ คนก็ยังอ่านวิจัยผิดๆ ถูกๆ อยู่นะ 

 

มีงานวิจัยจากหลายๆ ที่บอกว่า คนที่มาสก์หน้าได้ประโยชน์มากกว่าการทาสกินแคร์ธรรมดา หรือว่า Expert Opinion เช่น อาจารย์ เภสัชกร เขาก็บอกว่าการมาสก์หน้ามันได้ Occlusive Effect เหมือนกับว่าพอปิดลงไปมันจะทำให้สารซึมลงไป ระเหยไม่ได้ในช่วงเวลานั้นมากกว่า

 

มาสก์หน้าเราไม่ได้ใช้เป็นรูทีนนะครับ เราใช้เป็น Optional คนส่วนใหญ่ที่บอกว่ามาสก์หน้าไม่ดี เพราะเขาเอาไปเปรียบเทียบกับสกินแคร์รูทีน ซึ่งมันเปรียบเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว

 

สมมติว่าวันนั้นเรารู้สึกว่าเราต้องการที่จะบูสต์ผิว เช่น ความโกลว ความชุ่มชื้น เราสามารถใช้มาสก์แก้ปัญหาผิวในช่วงนั้นได้ 

 

มันเป็นเรื่อง Experience ด้วย ระหว่างใช้แล้วจะรู้สึกผ่อนคลาย แล้วต่อเคยมาสก์หน้าติดต่อกันก็รู้สึกว่าผิวมันดีกว่าการใช้สกินแคร์เดี่ยวๆ แต่มาสก์เท่าที่จำเป็น เท่าที่ผิวเราไหว สัปดาห์ละ 1-2 วัน มาสก์บ่อยเกินก็เป็นโทษ อุดตัน

 

 

เมื่อครู่เราถามถึงหัตถการไปแล้ว ถ้าเป็นสกินแคร์ล่ะ ถูกและดีมีจริงไหม

 

มีจริง เห็นด้วยมาก แล้วปีนี้อินสกินแคร์คนไทยมาก ถ้าเป็น 10 ปีก่อน ตอนนั้นเข้าวงการสกินแคร์ต้องเคาน์เตอร์แบรนด์เท่านั้น เซรั่มหลักหมื่น แต่ตอนนี้ของคนไทยดีมาก 200-300 บาท เราก็ใช้นะ บางยี่ห้อของคนไทยทำเป็นแบบลักชัวรีเลย ขวดหนึ่ง 2,000-3,000 บาท ใช้แล้วก็ดี 

 

ก็ต้องบอกว่า อย่าให้ราคามันตัวกำหนดว่าดีหรือไม่ดี ดูส่วนผสมก่อน ดูสารระคายเคือง มีน้ำหอมไหม ใช้แล้วถูกกับผิวหน้าเลยหรือเปล่า 

 

แพงไม่ได้แปลว่าเราจะไม่แพ้

 

ใช่ แพงไม่ได้แปลว่าจะดี ส่วนตัวเชื่อในการ Customize สกินแคร์ให้เข้ากับตัวเรามากกว่า 

 

สำหรับคนที่แพ้ง่าย ต่อให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าเป็น Hypoallergenic Product ก็ยังมีสิทธิ์แพ้ได้เหมือนกัน จริงไหม

 

มีสิทธิ์แพ้ได้จริง Hypoallergenic เป็นคำที่ค่อนข้างจะเรียกว่า Gray Zone ไม่ได้มีใครมากำหนดว่าแพ้เท่านี้ถึงเรียกว่าเยอะ แพ้เท่านี้ถึงเรียกว่าน้อย FDA ไม่เคยระบุ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราแพ้หรือไม่แพ้อะไรบ้าง เราอาจแพ้สารกันเสียก็ได้ หรือแพ้ส่วนประกอบอะไรในนั้นก็ได้ แต่ใช้ผลิตภัณฑ์ Hypoallergenic จะช่วยลดความเสี่ยงได้ มันอาจไม่เติมสี เติมกลิ่น อะไรพวกนี้

 

แล้วคนที่บำรุงผิวเหมือนเดิมทุกอย่าง จู่ๆ วันหนึ่งมีอาการผิวแห้ง เกิดจากอะไร

 

ต่อคิดว่ามีความผิดปกติของร่างกาย เกิดการแพ้อะไรอื่นๆ หรือว่าอาจเป็นโรคขึ้นมา โรคทางผิวหนังน่ะครับ โอกาสน้อยที่ใช้สกินแคร์อันเดิมแล้วอยู่ดีๆ หน้าจะแห้ง มันอาจมีความเปลี่ยนแปลงบ้าง เช่น เห็นผลไม่เท่าเดิม แต่ถ้ามันแห้งลอกเลย แปลว่ามีโรคขึ้นมาแล้ว อาจต้องไปพบแพทย์

 

คนที่เป็นสิวซ้ำซากที่เดิมเกิดจากอะไร

 

ต้องบอกว่าสิวมันเกิดจากปัจจัยภายในเป็นส่วนใหญ่ ผู้หญิงน่าจะฮอร์โมน บางทีเป็นประจำเดือนก็จะขึ้นตามกรอบหน้า ตามคาง หรือไม่ก็ความสกปรก ไม่เปลี่ยนผ้าขนหนู ไม่เปลี่ยนปลอกหมอน บางคนนอนน้ำลายยืดย้อย แทนที่จะเป็นสิวก็เป็นเชื้อรามาเลย สามารถใช้ยาบางตัวยาทาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดสิวพวกนี้ได้ สกินแคร์รูทีนก็ปรับไปใช้ที่ช่วยลดการอุดตัน แบบนี้ก็จะช่วยได้นะครับ

 

เชื่อว่าปัญหารูขุมขนน่าจะเป็นอีกประเด็นที่หลายคนกังวล เคยได้ยินว่ารูขุมขนบริเวณจมูกไม่มีทางจะหายได้ 100% ไม่เหมือนกับผิวบริเวณแก้ม หมอว่าจริงไหม

 

ผมว่ารูหมดทุกที่เลย หายไม่ได้ ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ ผมคิดว่ารูขุมขนเนี่ยมันคล้ายกับลายนิ้วมือ กว้างอย่างไรก็กว้างอย่างนั้นแหละ ตลอดชาติ แต่เราทำให้มันดูเล็กลงแบบชั่วคราวได้ แต่ถ้าหยุดทำมันก็จะกลับมากว้างเหมือนเดิม

 

 

ต่อให้เลเซอร์กี่หมื่นกี่แสน…

 

ช่วงที่ทำจะหุบ แต่เลิกทำก็กลับมากว้างเหมือนเดิม หรือเล็กลงนิดหน่อย พันธุกรรมก็มีผล การใช้ชีวิตก็มีผล

 

สกินแคร์พอช่วยได้ไหม

 

น้อย ดีที่สุดคือไพรเมอร์ จริงๆ ครับ แม้แต่ตัวผมก็ทำมาทุกอย่างแล้ว รูขุมขนไม่มีทางหายไปจากหน้าเราได้เลย

 

เรามักจะได้ยินว่านอกจากการดูแลภายนอกแล้ว สุดท้ายก็ต้องสัมพันธ์กับการดูแลตัวเองจากข้างใน นอกเหนือจากด้านการบำรุงผิวแล้ว หมอต่อมีรูทีนในการดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

 

จริงมากครับ ผมจะบอกคนไข้ว่าหลักการที่เราจะดูดีเนี่ย ต้องทำ 3 อย่าง กิน ทา ฉีด กินคือต้องกินอาหารให้เพียงพอ โปรตีนเป็นหลักเลย ไม่ใช่ว่าอยากจะผอมกินแต่โปรตีนชง ไม่กินข้าวกินปลา แบบนี้ไม่มีทางที่ผิวจะดูสุขภาพดี คือต้องกินอาหารให้ถึง อาหารเสริมก็ต้องกินบ้าง แต่ไม่ใช่ว่ากินเป็นกำมือ 

 

ผมก็กินอยู่ประมาณ 2-3 ตัว ส่วนตัวผมชอบกินผักกับผลไม้มาก วันนี้จะกินผลไม้ตระกูลแอปเปิ้ล อีกวันจะกินผลไม้ตระกูลเบอร์รี พอช่วงที่ออกกำลังกายเราก็จะลดลงมาเหลือแก้วมังกร อะไรแบบนี้ คือผักผลไม้นี่สำคัญมากๆ เลยนะ ไม่กินไม่ได้เลย อาหารเสริมไม่มีทางทำได้เท่าผักผลไม้ตามธรรมชาติ

 

 

อยากฝากอะไรทิ้งท้ายถึงคนที่อยากมีสุขภาพผิวดี ผิวสวยอย่างยั่งยืน

 

ต่อเชื่อในอาหารหลักมาก คือผิวหนังมันเป็นอวัยวะที่ร่างกายให้ความสำคัญรองลงมาจากอวัยวะหลักๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด มันต้องเสิร์ฟให้สมอง ปอด หัวใจก่อน เพราะฉะนั้นถ้าสุขภาพข้างในเรายังไม่ดี ผิวเราก็ไม่มีความเฮลตี้ เพราะฉะนั้นต่อเชื่อในการมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพผิวที่ดีจะตามมา

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising