×

เทคนิคยืดอายุผิวให้ดูเด็กโดย หมออิ๊ก-พญ.แพรวพรรณ บุณยรัตพันธุ์ (ว.37948)

30.06.2025
  • LOADING...
หมออิ๊ก-พญ.แพรวพรรณ บุณยรัตพันธุ์

เรามักจะเคยได้ยินว่า ยิ่งเครียดผิวยิ่งแก่ นอนดึกผิวยิ่งโทรม กินอาหารไม่ดีสิวบุก แต่ไลฟ์สไตล์บางอย่างในปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงได้ยาก จะมีวิธีไหนที่จะช่วยดูแลผิวให้อ่อนเยาว์ด้วยวิธีธรรมชาติได้บ้าง แล้วถ้าต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์จริงๆ ควรจะต้องเลือกแบบไหน เราจึงชวน หมออิ๊ก-พญ.แพรวพรรณ บุณยรัตพันธุ์ (ว.37948) แพทย์เฉพาะทางด้านตจวิทยา (ผิวหนัง) และแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสาธารณสุขศาสตร์ และแขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิต ที่สถาบันบำราศนราดูร มาไขข้อข้องใจพร้อมแนะนำเทคนิคยืดอายุผิวให้ดูเด็กยาวนานที่ทำตามได้ไม่ยาก 

 

เราเชื่อว่าหากนำคำแนะนำของหมอไปปรับใช้กับไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ ตัวเลข ‘อายุ’ จะทำอะไรคุณไม่ได้เลยล่ะ

 

 

ในเชิงเวชศาสตร์ชะลอวัยเรามักจะเคยได้ยินถึง Biological Age และ Chronological Age อยู่ตลอด เดี๋ยวนี้ตัวเลขอายุจริงๆ ของเรามันยังเป็นตัวชี้วัดความแก่ได้จริงอยู่ไหม

 

หมออิ๊ก: เดี๋ยวนี้อายุคนเราเดายากขึ้นค่ะ สมัยก่อนถ้าอายุ 30 จะพอบอกได้ว่าเริ่มมีริ้วรอยประมาณนี้ ไม่ใช่แค่ผิวอย่างเดียว รวมถึงสมรรถนะทางร่างกายด้วย เช่นเริ่มมีปวดเมื่อยง่ายขึ้น Recovery หลังออกกำลังช้าลง แต่ปัจจุบันเริ่มบอกว่าใครอายุเท่าไหร่ยากขึ้นเพราะมีหลายคนที่เริ่มให้ความสำคัญกับสุขภาพ และดูแลตัวเองมากขึ้น ทำให้ดูเด็กกว่าอายุ 

 

อย่างวันก่อนหมอเพิ่งตรวจคนไข้อายุ 90 แต่รู้สึกเหมือนคนไข้ที่อายุ 60 เพราะยังกระฉับกระเฉง ลุกยืนคล่อง ความจำดี พูดคุยหยอกล้อได้ 

 

สรุป Chronological Age คืออายุที่เราเกิดมาบนโลกนี้ ตัวเลขที่อยู่บนปีเกิดพาสปอร์ต หรือว่าในบัตรประชาชน เอามาลบกับปี 2025 ว่าอายุเท่าไหร่ แต่คำว่า Biological Age คืออายุทางชีวภาพ คืออายุของเซลล์เรา เป็นอายุร่างกายเราจริงๆ โดยอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายเราสามารถแก่ไม่เท่ากันได้ เราอาจจะมีผิวที่ยังดูเด็ก แต่มีปอดที่แก่ก็ได้ เพราะว่าเจอฝุ่น PM2.5 เยอะ รวมทั้งไม่ได้ใส่หน้ากากช่วงเจอฝุ่น หรือคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เยอะอาจจะมีตับที่อายุเยอะก็ได้ 

 

Biological Age เลยเป็นค่าที่เราเอามาวัดเพื่อบอกว่า อายุจริงๆ ของเรา อายุเซลล์ของเรา การทำงานของอวัยวะเราว่าอายุเท่าไหร่

 

 

Biological Age สามารถตรวจด้วยวิธีใดได้บ้าง

 

หมออิ๊ก: ตรวจได้หลายแบบค่ะ โดยใช้ Biomarker หลายตัวในการดู เริ่มต้นจากตัวที่บอกได้ง่ายๆ เลย เช่น ถ้าอยากดูฟิตเนสของตัวเอง สามารถตรวจเบื้องต้นด้วย Grip Strength Test หรือ ถ้าจะตรวจให้ลึกกว่านั้นก็จะมีการดูค่า VO2 Max ที่วัดสมรรถภาพของหัวใจและปอด 

 

จริงๆ แล้ว การที่เราไปตรวจสุขภาพประจำปีก็จะมีผล Biomarker บางตัว เช่น ค่าไตของเรา ที่บอกการทำงานของไต หรือ ค่าน้ำตาลสะสม ที่บ่งบอกถึงระดับน้ำตาลในเลือด และสามาถอาจจะสะท้อนภาวะการดื้ออินซูลินได้  

 

จริงๆ มันก็อยู่ในแพ็กตรวจสุขภาพพื้นฐานของเราเหมือนกัน

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ แต่ถ้าเราอยากรู้ในระดับที่ลึกลงไป แม่นยำขึ้น ปัจจุบันมีการพัฒนาการตรวจ Epigenetic จากที่เราทราบว่าเวลาที่คนเราเกิดภาวะ Aging จะโดนกำหนดมาด้วย Genetic (พันธุกรรม) ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งถูกกำหนดด้วย Epigenetic คือ กระบวนการที่ควบคุมการแสดงออกของยีน ที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น อาหาร การใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ โดยที่ไม่เปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม ปัจจุบันเราเริ่มมีการตรวจที่วัด Epigenetic ได้ เช่น การตรวจ DNA Methylation ที่ส่งผลต่อการทำงานของยีน โดยอาจจะเป็นการตรวจจากเลือด บางแล็บก็จะตรวจจากน้ำลาย 

 

เราสามารถลด Biological Age ของเราได้ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของเราค่ะ การที่เราตรวจซ้ำหลังจากเราปรับพฤติกรรม หรือตรวจอย่างต่อเนื่องเหมือนที่เราเช็กอัพประจำปี จะทำให้เราเห็นเทรนด์ของอายุชีวภาพของเราได้ และช่วยให้เราทราบว่าต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์อย่างไรเพื่อลด Biological Age   

 

 

นอกจากอาการปวดเมื่อยหรือผิวที่เริ่มเหี่ยวแล้ว มีสัญญาณอะไรบ้างที่ฟ้องว่าร่างกายเรากำลังแก่มากกว่าอายุจริง

 

หมออิ๊ก: การ Recovery หรือการ Repair ของร่างกายที่ช้าลงอาจจะเป็นอีกสัญญาณหนึ่งค่ะ เช่น สมัยก่อนเราเป็นสิวอาจจะใช้เวลา 2-3 วัน แล้วสิวหาย รอยดำอยู่ไม่นาน แต่ถ้าเริ่มมีผิวที่อายุเยอะ หรือมีตัวเร่งการแก่ของผิว เช่น ความเครียด หรือมลภาวะ สิวจะหายช้าลง ใช้เวลา Recovery นานขึ้น รอยดำอยู่นานขึ้น โดยส่วนตัวเลยคิดว่า ถ้าดูง่ายๆ อาจจะดูเรื่องเวลาในการฟื้นฟูและการซ่อมแซมที่เปลี่ยนไปได้ค่ะ

 

พูดถึงเรื่องผิว เชื่อว่าถ้าอยากทำให้ผิวดูดีแบบเร่งด่วน หลายคนก็จะพึ่งหัตถการเลย แต่ถ้าจะใช้วิธีธรรมชาติหรืออิงตาม 6 เสาหลักของ Lifestyle Medicine มีวิธีไหนที่ช่วยชะลอความเสื่อมของผิวได้บ้าง

 

หมออิ๊ก: จากที่ได้ดูแลคนไข้มา ถึงแม้คนไข้จะเข้ามาดูแลผิวด้วยเรื่องหัตถการต่างๆ แต่ถ้าเขาดูแลตัวเองไม่ดี ผลลัพธ์ของหัตถการพวกนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน และผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ประสิทธิผลที่ดี 

 

ในอีกมุม บางคนบอกว่ายังไม่อยากเริ่มดูแลผิวด้วยหัตถการ เค้ายังรู้สึกว่าผิวเค้ายังไม่มีปัญหามาก เพราะเกิดจากที่เขาดูแลตัวเอง ในมุมของ ไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การนอน การลดความเครียด หรือการเลี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์  

 

Lifestyle Medicine จะมีทั้งหมด 6 Pillars ข้อแรกคือเรื่องของอาหาร เพราะฉะนั้นใครที่อยากจะเริ่มดูแลตัวเอง ชะลอความเสื่อมของผิว อาหารก็เป็นสิ่งสำคัญ ตัวที่มี Study ว่าเป็นตัวทำให้ผิวเสื่อมเร็ว คือน้ำตาล ที่บอกว่ากินน้ำตาลแล้วดูแก่เพราะว่าทำให้เกิด Inflammation และเกิดกระบวนการ Glycation ที่ทำให้เกิด Advanced Glycation End Products (AGEs) ที่ไปเร่งความเสื่อมของเซลล์ AGEs นี้จะเจอได้ในคนที่กินน้ำตาลมากๆ รวมถึงคนที่กินอาหารที่มีการผ่านความร้อนสูงๆ  

 

ถ้าเทียบระหว่างน้ำตาลกับอาหารแปรรูป อะไรแย่กว่ากัน

 

หมออิ๊ก: เป็นข้อที่น่าสนใจ แต่จริงๆ แล้วถ้าสังเกตดีๆ อาหารแปรรูปมักจะมีน้ำตาลเยอะ แทบจะทุกอย่างเลย มันจะมาด้วยกัน ถ้าเลี่ยงได้หรือบาลานซ์ได้ก็จะดีกว่าค่ะ

 

อยากให้คุณหมอแนะนำอาหารที่กินแล้วผิวสวย

 

หมออิ๊ก: ถ้าพูดถึงอาหารอะไร หรือวิตามินอะไรที่ทำให้ผิวสวย เชื่อว่าหลายคนคิดถึงกลุ่มวิตามินซีเป็นอย่างแรก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผิวจริง แต่คนส่วนใหญ่จะคิดถึงว่าส้มให้วิตามินซีสูงเพียงอย่างเดียว แต่รู้ไหมว่าวิตามินซีที่อยู่ในส้มมีน้อยกว่าในฝรั่ง และผักบางชนิดก็มีวิตามินซีสูง เช่น ใบเหลียง 

 

นอกจากได้วิตามินซีแล้วยังมีกากใยช่วยลำไส้ของเราด้วย ถ้าเราพูดในมุมของเรื่อง Gut-Skin Axis ลำไส้กับผิวหนังมีความเชื่อมโยงกัน ถ้าเกิดมี Inflammation ในลำไส้ ลำไส้ไม่ดี ขับถ่ายไม่ปกติ ก็จะส่งผลต่อ inflammation ที่ผิว ทำให้ผิวไม่ดี เพราะฉะนั้นอาหารที่กินเพื่อบำรุงผิว ต้องเป็นอาหารที่บำรุงลำไส้ด้วยค่ะ 

 

โดยส่วนตัวเวลาแนะนำคนไข้ จะชอบบอกคนไข้ว่า ‘Eat Like a Rainbow’ คือกินให้ได้หลายๆ สี กินให้หลากหลาย กินธัญพืชต่างๆ กินผักให้มากกว่าผลไม้ นอกจากนี้ก็ควรกินอาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด ถั่ว งา หรือพวกเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ที่หาซื้อได้ง่าย แต่อาจจะไม่เลือกแบบที่ใส่เกลือเพิ่ม 

 

ส่วนการดื่มน้ำก็ยังคงสำคัญมาก เพราะว่าร่างกายเราประกอบไปด้วยน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก ถ้าเราดื่มน้ำน้อย เลือดข้นขึ้น ก็จะพาออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ยากขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่ผิวอย่างเดียว อวัยวะอื่นๆ เช่น สมองด้วย

 

หลายตำราจะพูดไม่ค่อยตรงกันในเรื่องปริมาณน้ำเปล่าที่ควรดื่มต่อวัน

 

หมออิ๊ก: น้ำที่ต้องการในแต่ละวัน นอกจากจะขึ้นกับน้ำหนักตัวแล้ว ยังขึ้นกับการเสียน้ำในแต่ละวันด้วย เช่น วันที่ออกกำลังมาก หรืออากาศร้อน เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวมักจะแนะนำให้ดูด้วยว่าปัสสาวะมีสีเป็นอย่างไร สียังเข้มมากหรือเปล่า ถ้าเข้มแปลว่าขาดน้ำ อาจจะใช้ตรงนั้นเป็นตัวช่วยวัดก็ได้ แต่ก็จะมีค่ากลางๆ อยู่ คือควรจะดื่ม 2-3 ลิตรเป็นอย่างน้อยต่อวันค่ะ 

 

ในเรื่องการนอน เราควรต้องเข้านอน 4 ทุ่มเป๊ะตามวิจัยเลยไหมเพื่อให้ได้ความอ่อนเยาว์

 

หมออิ๊ก: ส่วนตัวหมอให้ความสำคัญกับการนอนมาก ถ้าเราเข้านอนช่วงประมาณ 4 ทุ่มได้จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นช่วงที่กำหนดไปตามนาฬิกาชีวิต หรือ Circadian Rhythm แต่ ถามว่าต้องนอน 4 ทุ่มเลยไหม จริงๆ ต้องมาปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลว่าสามารถเข้านอนได้จริงในเวลาไหน และส่วนใหญ่หมอจะเน้นเรื่องของคุณภาพ หรือ Quality ของการนอนด้วย ว่านอนหลับได้ทั้งคืนไหม นอนได้กี่ชั่วโมง และตื่นมาสดชื่นไหมตอนเช้า 

 

จริงๆ มียีนที่มาเกี่ยวข้องกับการนอนนะคะ ว่าบางคนสามารถนอนน้อยได้ บางคนนอนนิดเดียวก็ดูเฟรชและไม่มีปัญหาสุขภาพอะไร เพราะฉะนั้นต้องมาดูว่าเรานอนหลับได้คุณภาพเป็นอย่างไร ใช้เวลาเข้านอนนานไหม มีตื่นระหว่างคืนไหม และตื่นมาเรารู้สึกเฟรชดีไหม แต่จะมีค่ากลางๆ ว่าเราควรนอนอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง

 

การนอนน้อยเป็นความเครียดอย่างหนึ่ง ความเครียดจะไปกระตุ้นฮอร์โมนความเครียด หรือ Cortisol ซึ่งส่งผลหลายอย่าง การกระตุ้น Cortisol นานๆ จะไปเพิ่ม Inflammation ได้ซึ่งเป็นสาเหตุของความแก่ มีการศึกษาว่า Cortisol ที่สูงนานๆ อาจจะไปยุ่งกับ Fibroblast ทำให้การสร้างคอลลาเจนลดลง 

 

นอกจากนั้นความเครียดจะยังไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมนออกมาที่สามารถไปกระตุ้นการทำงานของการสร้างเม็ดสี ทำให้เครียดแล้วสีผิวเข้มขึ้นได้ และความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เรานอนไม่ดี ก็จะวนกลายเป็น Cycle 

 

ก็เหี่ยววนไป 

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ ก็จะวนกันไปหมดเลย 

 

แล้วในเรื่องการออกกำลังกาย เราควรออกแบบไหนให้ไม่เหี่ยว

 

หมออิ๊ก: ในมุมของออกกำลังกายเองก็มี Study ว่า การออกกำลังแบบ High Intensity Interval Training (HIIT) สามารถกระตุ้นการสร้าง Growth Hormone ได้ ถ้าเรามี Growth Hormone ออกมา ทุกอย่างก็โดน Repair ผิวก็เป็นส่วนหนึ่งที่โดนซ่อมแซมเช่นกัน 

 

การออกกำลังกายสามารถเพิ่ม Longevity ได้ แต่อีกมุมหนึ่ง คนที่ออกกำลังกายหนักมากๆ จนกลายเป็น Stress สามารถเร่งความแก่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องเน้นความสม่ำเสมอ ออกกำลังกายให้หลากหลายทั้ง Cardio, Weight Training, Stretching และ บาลานซ์ปริมาณการออกกำลังให้พอดี  

 

เรามักจะเคยได้ยินว่าวิ่งเยอะทำให้หน้าแก่ คุณหมอคิดอย่างไร

 

หมออิ๊ก: นั่นอาจเป็นกรณีออกกำลังกายแบบเอ็กซ์ตรีม มันไปเพิ่ม Oxidative Stress และเกิด inflammation ส่งผลทำให้แก่ได้

 

ซึ่งความเครียดก็เป็นอีกขาสำคัญที่ทำให้เราดูแก่ได้ชัดเจน

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ และจากที่เจอคนไข้มา สิ่งที่ปรับยากที่สุดก็คือเรื่องความเครียด เราคงไม่สามารถทำให้ไม่เกิดความเครียดได้ เพราะแค่เจอรถติดเราก็เครียดแล้ว แต่เราต้องหาวิธีกำจัดความเครียดให้เร็วได้อย่างไร เพราะความเครียดส่งผลต่อการนอน พอนอนไม่ดีก็รู้สึกเหนื่อย ไม่อยากออกกำลังกาย อยากจะกินของหวานๆ แล้วก็เริ่มอารมณ์ไม่ดี ส่งผลให้ Social Connection ก็ไม่ดี 

 

ตอนนี้คนเริ่ม Overwhelmed กับเรื่องสุขภาพ ซึ่งจริงๆ การให้ความสำคัญกับสุขภาพนั้นดีมากเลยค่ะที่ทุกคนตระหนักในเรื่องของ Healthy Lifestyle แต่บางคนเริ่มเครียดกับการมีสุขภาพดี การมี Healthy Lifestyle ควรจะเป็นอะไรที่เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งธรรมดาที่ทำได้ทุกวัน เพราะว่าการมี Healthy Lifestyle ไม่ใช่แฟชั่น มันควรจะเป็นสิ่งที่เราทำได้สม่ำเสมอ ทำได้เรื่อยๆ ช่วงแรกอาจจะต้องมีวินัย ทำเรื่อยๆ จนทำเป็นกิจวัตรได้ 

 

มันซิงก์กันไปหมด 

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ อาหาร การออกกำลัง ความเครียด การนอน มีผลซึ่งกันและกันไปหมด อีกขาหนึ่งก็คือเรื่องหลีกเลี่ยงสารพิษ สารเสพติด คนก็อาจจะคิดถึงเฉพาะการเลี่ยงบุหรี่ และแอลกอฮอล์ ส่วนตัวอยากเพิ่มเรื่องมลภาวะเข้าไปด้วย เพราะส่งผลต่อทั้งผิวและสุขภาพโดยรวม อย่าง ฝุ่น PM2.5 ทำให้ผิวแห้งลง ทำให้รอยดำเป็นมากขึ้นได้ 

 

นอกจากนั้นทำให้คนที่มีผื่นอยู่แล้ว เช่น โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังต่างๆ ทั้ง Atopic Dermatitis และ Seborrheic Dermatitis เป็นมากขึ้น คนเป็นสิวก็อักเสบมาก รักษายากขึ้น 

 

เราเชื่อว่าสุขภาพใจที่ดี มันส่งผลต่อผิวที่ดี แล้วถ้าสำหรับบางคน การกินของอร่อยมันเท่ากับความสุข ควรทำอย่างไร 

 

หมออิ๊ก: หมอว่าเราต้องบาลานซ์ กินแบบพอประมาณ และอาจจะต้องรู้จักผิวตัวเองนิดหนึ่งในแต่ละช่วง ยกตัวอย่างตอนที่สิวกำลังเห่อมาก แต่อยากกินน้ำตาลเยอะๆ ตอนกินก็มีความสุข แต่เราทราบกันอยู่แล้วว่าน้ำตาลทำให้สิวเห่อได้ หลังจากกินเสร็จสิวเยอะขึ้น ส่งผลให้เครียดต่อ กลายเป็นไม่มีความสุขแทน

 

 

จากที่คุณหมอเกริ่นข้างต้นถึง Social Connection มันสามารถส่งผลต่อผิวเราอย่างไรได้บ้าง

 

หมออิ๊ก: อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อผิวแบบตรงๆ แต่การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดี สามารถส่งผลต่อสุขภาพทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ได้ คนเรายังเป็นสัตว์สังคม เรายังอยากมี Interaction กับคนอยู่ การมี Social Connection ที่ดีส่งผลให้มีการหลั่งฮอร์โมนความสุข และลดฮอร์โมนความเครียด เลยส่งผลให้ผิวเราดีขึ้น 

 

และคนโสดเองก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี Social Connection เพราะการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่คู่รัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว คุณพ่อ คุณแม่ พี่น้อง เพื่อน หรือความสัมพันธ์กับน้องหมา น้องแมวก็สามารถกระตุ้นฮอร์โมนแห่งความสุขได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่ยังไปเที่ยว ไปจิบชากันทุกเดือน เขาอาจจะไม่มีครอบครัว เช่น ลูกก็ได้ แต่เขามีกลุ่มเพื่อน ยังมี Social Connection ที่ดี ทำให้มีอายุยืนยาวได้

 

ในฐานะที่หมออิ๊กเป็นแพทย์ผิวหนังด้วย มีวิธีบำรุงผิวแบบไหนที่ช่วยชะลอวัยได้บ้าง

 

หมออิ๊ก: การป้องกัน ดีกว่าการรักษาเสมอ สิ่งที่สำคัญคือ การทากันแดด โดยควรเลือกกันแดดให้เหมาะสมแล้วใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ผิวแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และในแต่ละช่วงเวลาผิวเราก็อาจจะเปลี่ยนไปได้ ตามอากาศหรือบางครั้งจากยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ เช่น ถ้าช่วงไหนที่มีสิวเราก็อาจจะต้องเลือกกันแดดสูตรสำหรับผิวที่มีสิว

 

มีการศึกษาว่า การทาสารที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Retinoid ถ้าใช้ในระยะยาวจะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นคอลลาเจนได้ และลดริ้วรอยเล็กๆ (Fine Line) ได้ แต่ก็ต้องระวังการระคายเคือง โดยอาจจะเริ่มจากเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ก่อน และเริ่มโดยไม่ต้องใช้ทุกคืน อาจจะใช้แค่คืนเว้นคืน หรืออาทิตย์หนึ่งสัก 3 คืนก่อน และค่อยๆ เพิ่มวันในการทา

 

นอกจากผลิตภัณฑ์กลุ่มกันแดด หรือการทา Retinoid ที่เราทาเองได้ทุกวัน หัตถการบางอย่างก็สามารถป้องกันและชะลอเรื่องของริ้วรอยบนใบหน้าได้ เช่น ในกลุ่มของการฉีด Botulinum Toxin ไปบริเวณกล้ามเนื้อใบหน้า เพราะว่า Toxin จะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว 

 

ส่วนตัวชอบอธิบายคนไข้เปรียบเทียบว่า เวลาที่เราพับผ้าบ่อยๆ พับไว้อย่างนั้นนานๆ เอาไปรีดก็ยังเป็นรอยอยู่ ซึ่งเหมือนกับเวลาที่เราแสดงสีหน้า เช่น ขมวดคิ้ว เลิกหน้าผาก ถ้าเราทำบ่อยๆ นานๆ ไป บางคนก็จะเริ่มมี Static Line (ร่องติด) เพราะฉะนั้นการฉีดสารกลุ่ม Botulinum Toxin ก็มี Study ว่าถ้าเราไปเบรกมันก่อนที่จะกลายเป็น Static Line ก็จะไม่เกิด Static Line ในอนาคต

 

สมัยก่อนเราจะชอบพูดว่าสกินแคร์สำหรับคนอายุ 20 สกินแคร์ สำหรับอายุ 30 สกินแคร์ สำหรับอายุ 40 แต่มันไม่ได้มีสูตรตายตัวสำหรับช่วงอายุขนาดนั้น โดยส่วนตัวอยากให้เลือกใช้ตามปัญหา และใช้น้อยที่สุด เพราะว่าปัจจุบันเจอปัญหาว่าคนไข้มักจะใช้ผลิตภัณฑ์เยอะมากหลายตัว ซึ่งบางครั้งมีส่วนผสมที่ซ้ำซ้อน ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงได้ โดยส่วนตัวเลยอยากแนะนำให้ใช้หลักๆ คือ Cleanser, Moisturizer, และ Sunscreen

 

หมออิ๊ก-พญ.แพรวพรรณ บุณยรัตพันธุ์

 

เรียกว่าเป็น Essential แค่นี้พอแล้ว

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ แล้วถ้าจะมองในมุมแบบรักโลกหน่อย เราก็จะไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำเป็น ลดการใช้ทรัพยากร และลดขยะด้วยค่ะ

 

พวกเซรั่ม หมอมองว่าจำเป็นไหม

 

หมออิ๊ก: แล้วแต่ปัญหาของแต่ละคนนะคะ เช่น ถ้าคุณใช้ Cleanser, Moisturizer และ Sunscreen แต่มีปัญหาเรื่องรอยดำด้วย เราอาจจะต้องเพิ่มหนึ่งตัวที่มาช่วยเรื่องรอยดำ คำว่า เซรั่มหรือครีมคือเนื้อของผลิตภัณฑ์ แต่ในมุมการแก้ปัญหาของคนไข้เราจะมองที่ Ingredient ที่มีงานวิจัยรับรองเป็นสำคัญ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์อาจจะดูตามความเหมาะสมของลักษณะผิว และการซึมลงผิวของตัวสารสำคัญ

 

เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราควรเริ่มใช้ตัว Retinoid แล้ว

 

หมออิ๊ก: ถ้าพูดถึงเรื่องช่วงเวลาที่คอลลาเจนเริ่มลดลงจริงๆ อาจจะเริ่มใช้เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในช่วงอายุ 30 ก็ได้ค่ะ หรือเริ่มมีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ

 

แล้วถ้าเราอยากพึ่งหัตถการเพื่อความอ่อนเยาว์ ควรเลือกแบบไหนดี

 

หมออิ๊ก: ควรเลือกให้ตรงกับปัญหาของเราก่อน แนะนำให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินว่าเราควรทำหัตถการอะไร ถ้ามีปัญหาความหย่อนคล้อยก็จะมีหัตถการหลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม High-Intensity Focused Ultrasound, กลุ่ม Radiofrequency, หรือกลุ่มที่ใช้พลังแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมด้วยที่ไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น แต่ละตัวมีจุดเด่นและข้อห้ามแตกต่างกันไป

 

นอกจากการดูแลผิวด้วยหัตถการแล้วก็อยากให้ความสำคัญในการดูแลผิวจากภายในด้วยนะคะ เพราะจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และอยู่ได้นานขึ้น ไม่ต้องทำบ่อยๆ 

 

นอกจากหัตถการแล้ว ปัจจุบันกลุ่ม Beauty Tool สำหรับใช้เองที่บ้านก็มีค่อนข้างหลากหลาย มีอะไรที่หมออิ๊กไม่สนับสนุนบ้างไหม

 

หมออิ๊ก: ส่วนตัวเคยไปอ่าน Paper เกี่ยวกลุ่มนี้ อย่างพวก Jade Roller หรือ Guasha ตามทฤษฎีแล้วจะช่วยในเรื่องของการคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxant) และเดรนน้ำเหลือง (Lymphatic Drainage) แต่ว่าก็มีเขียนถึง Side Effect เหมือนกัน เช่น ถ้าทำแรงเกินไปก็ช้ำได้ บางครั้งทำด้วยเทคนิคที่ผิดอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้ เป็นแผลได้ 

 

โดยส่วนตัวก็เลยรู้สึกว่า ถ้าจะทำก็อาจจะต้องระวังในเรื่องของผลข้างเคียง กับอีกเรื่องคือทำแล้วจะได้ผลลัพธ์ตามที่เราอยากได้ไหม คิดว่ามันมีปัจจัยที่ส่งผลเยอะ ทั้งคุณภาพของอุปกรณ์, เทคนิค, ความถี่ที่จำเป็นต้องทำ และผลลัพธ์อาจจะไม่ได้ Long-term ขนาดนั้น แต่อาจจะเอาไว้ทำควบคู่กับหัตถการอื่นได้ค่ะ

 

เรียกว่าอย่าไปพึ่งพามันเป็นหลัก ให้ใช้มันเป็นส่วนเสริมดีกว่า 

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ 

 

 

แล้วมันมีความเชื่อหรือวิธีการดูแลผิวผิดๆ ที่คุณหมอเคยเจอบ้างไหม

 

หมออิ๊ก: เพิ่งเจอเคสคนไข้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเลยค่ะ มีคนไข้เดินเข้ามาหาด้วยเรื่องขาดำขึ้นตั้งแต่กางเกงขาสั้นลงไปทั้ง 2 ขา เป็นมาอาทิตย์หนึ่ง ก็คุยไปคุยมา สรุปแล้วคนไข้เอามะกรูดมาขัดผิวเพราะอยากให้ผิวขาว ซึ่งจริงๆ ทางโรคผิวหนังเรามีโรคกลุ่ม Phytophotodermatitis (โรคผิวหนังอักเสบจากพืชที่ทำให้ไวต่อแสงแดด) คือในมะกรูดจะมีสารตัวหนึ่งที่เวลาโดนแสง UV โดยเฉพาะ UVA จะทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นผิวสีเข้มขึ้น นอกจากนั้นการใช้ผลไม้ หรือพืชที่มีความเป็นกรดมาขัดบริเวณผิว อาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น เป็นตุ่มพอง หรือบางครั้งเกิดเป็นแผลได้ ต้องระมัดระวังค่ะ

 

 

เรียกว่าบางอย่างอย่ามองว่ามันคือธรรมชาติแล้วจะปลอดภัย

 

หมออิ๊ก: ใช่ค่ะ การรักษาโดยการใช้สารธรรมชาติอาจไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป นอกจากนั้นกลุ่มที่ทำ Derma roller ที่เป็นแบบ Home-use ก็แอบเป็นห่วงนิดหนึ่ง Derma Roller คือหนึ่งในวิธีการกระตุ้นคอลลาเจนโดยทำให้เกิดแผลเล็กๆ แต่ถ้าทำเองที่บ้านต้องระวังเรื่องความสะอาด สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ทั้งกลุ่มแบคทีเรียทั่วไป และกลุ่มแบคทีเรียที่เรียกว่า Mycobacterium ซึ่งรักษายากมาก แล้วถ้าเกิดเป็นแผลติดเชื้อ ก็อาจจะหายเป็นแผลเป็นตามมา  

 

อีกเทรนด์ที่เห็นคนทำเยอะคือการจุ่มหน้าลงน้ำแข็ง 

 

หมออิ๊ก: ตามทฤษฎีแล้ว ความเย็นจะช่วยกระชับรูขุมขนได้ ช่วยทำให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้นได้ แต่ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน

 

แต่ต้องระวังในคนที่แพ้ความเย็น (Cold Urticaria) คือโดนความเย็นมากๆ แล้วเป็นผื่นลมพิษขึ้น หรือการที่เอาน้ำแข็งมาโดนผิวโดยตรง ก็มีโอกาสไหม้ผิว เป็นแผลได้ 

 

อยากฝากอะไรถึงผู้อ่าน THE STANDARD LIFE ที่อยากดูแลสุขภาพผิวให้ดีอย่างยั่งยืน

 

หมออิ๊ก: อยากฝากให้ดูแลผิวของคุณทั้งจากภายนอกและภายในร่วมกันค่ะ นอกจากนั้นอายุเราไม่ได้ขึ้นกับตัวเลขวันเกิดบนบัตรประชาชน แต่อายุเราขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ที่เราเลือกใช้ค่ะ อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่เริ่มพยายามจะปรับให้ตัวเองมี Healthy Lifestyle อยากให้การมี Healthy Lifestyle เป็นเรื่องธรรมชาติ ทำได้ง่ายๆ ทำได้เรื่อยๆ เป็นกิจวัตร และการเอาตัวเองไปอยู่ในสังคมที่มี Healthy Lifestyle จะทำให้เราทำได้ง่ายขึ้น และยั่งยืนขึ้นค่ะ

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising