มาลองเที่ยวภูฏานสักครั้งในชีวิต เมื่อดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่าติดหนึ่งใน Bucket List ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติที่สวยงาม ได้สูดโอโซนบริสุทธิ์ และปรับเข็มนาฬิกาชีวิตให้เดินช้าลง
ภูฏานหรือดินแดนมังกรสายฟ้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย เป็นประเทศขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ระหว่างประเทศจีนกับอินเดีย มีประชากรทั้งประเทศเพียง 7 แสนคน ภูมิประเทศโอบล้อมด้วยภูเขาและพื้นที่ป่า ซึ่งปกคลุมพื้นที่ทั้งประเทศกว่า 72% ทำให้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเจอเทือกเขาและต้นไม้น้อยใหญ่ตลอดสองข้างทาง
แต่ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่ธรรมชาติที่สวยงามเท่านั้น เพราะภูฏานยังรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ท่ามกลางความสงบและอ่อนน้อมของบ้านเมือง เพราะภูฏานได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับความสุขของประชากรมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ข่าวดีคือตอนนี้เราสามารถเที่ยวภูฏานได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องจองผ่านทัวร์เหมือนที่ผ่านมา (คลิกอ่านต่อได้ที่ https://thestandard.co/bhutan-open-country/) และเหล่านี้คือ 10 เหตุผลที่เราควรไปเที่ยวภูฏานสักครั้งในชีวิต
1. เป็นที่ตั้งของ Tiger’s Nest 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกปี 2023
The Tiger’s Nest หรือวัดทักซัง ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกประจำปี 2023 ด้วยความสวยงามและสถานที่ตั้ง ซึ่งอยู่บนหน้าผาสูงกว่า 900 เมตร และสูงเหนือพื้นน้ำทะเลถึง 3,000 เมตร ทำให้การไปเยือนสถานที่แห่งนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะเราต้องเดินเท้าไป-กลับกว่า 6 กิโลเมตร ซึ่งเส้นทางก็มีความลาดชัน ทำให้ใช้เวลาเดินอย่างน้อยนาน 5-6 ชั่วโมง แต่วิวตลอดสองข้างทางนั้นต้องบอกว่าคุ้มค่ามาก เพราะคุณจะได้เห็นเมืองพาโรจากมุมสูง มองเห็นทิวเขาสวยงาม และตัววัดทักซังเองก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน เห็นแล้วต้องทึ่งในพลังศรัทธาและความเชื่อของคนที่นี่
2. ที่เดียวในโลกที่คาร์บอนไดออกไซด์ติดลบ
ที่นี่คุณจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์และแสนสะอาดที่สุดในโลก เพราะภูฏานเป็นประเทศเดียวในโลกที่คาร์บอนไดออกไซด์ติดลบ เนื่องจากพื้นที่ป่าสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าที่ผลิตออกมา อันเป็นผลมาจากพื้นที่สีเขียวของประเทศที่มากกว่า 72% บวกกับการใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานลม มากกว่าพลังงานอื่นๆ ที่สร้างผลกระทบที่รุนแรงกว่า การมาเยือนที่นี่จึงเหมือนได้ฟอกปอดไปในตัว
3. เต็มไปด้วยกิจกรรมเอาต์ดอร์
นอกจากที่นี่จะดังเรื่องวัดและวัฒนธรรมแล้ว ภูฏานยังเป็นประเทศที่มีกิจกรรมเอาต์ดอร์ให้ทำเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า (Hiking) ที่มีเส้นทางเดินป่าสวยงามหลายแห่ง เช่น Kuenselphodrang Nature Park ที่เดินได้ทุกระดับ
การเทร็กกิ้ง (Trekking) ที่ต้องใช้เวลาหลายวันอย่าง Druk Path Trek หรือ Snowman Trek ที่ได้ชื่อว่าโหดที่สุดในโลก เส้นทางวิ่ง Snowman Run ที่โหดไม่แพ้กัน หรือการล่องเรือ (Rafting) ในแม่น้ำ Mo Chhu ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองพูนาคาก็สนุกและไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
4. แหล่งรวมโรงแรมห้าดาวที่กลืนไปกับธรรมชาติ
เมื่อที่นี่ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางกระเป๋าหนักระดับ Ultra Luxury ที่มองหาประสบการณ์พิเศษสุดที่จะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยที่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงงานบริการชั้นเลิศ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมืองพูนาคาซองหรือพาโร จะมีโรงแรมห้าดาวเกิดขึ้นมากมาย โดยที่โรงแรมเหล่านี้จะมีดีไซน์ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ มีขนาดไม่ใหญ่โต มีจำนวนห้องพักไม่ถึง 20 ห้อง แต่ภายในล้วนได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างดี จนทำให้เราลืมภาพลักษณ์ของโรงแรมห้าดาวในเมืองใหญ่ไปเลย โรงแรมที่ว่ามีตั้งแต่ Amankora, COMO Uma, Six Senses Bhutan และ Zhiwa Ling ซึ่งรายหลังเป็นโรงแรมแห่งเดียวในเอเชียที่ได้รับรางวัล National Geographic Unique Lodges of the World
หากใครไม่ได้มาพักจะลองมาแวะจิบชา กาแฟ หรือลองกินอาหารสักมื้อก็ได้เช่นกัน แต่อย่าลืมจองเข้ามาก่อนนะ
5. บ้านเมืองสะอาด คนมีระเบียบวินัย
ต้องบอกว่าสิ่งที่เซอร์ไพรส์เรามากที่สุดในทริปนี้คือความสะอาดของบ้านเรือนและถนนหนทางต่างๆ ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็แทบไม่เจอกองขยะหรือกลิ่นเหม็น ไม่ว่าจะเป็นในตัวเมืองหลวง ภูเขา แม่น้ำ พื้นที่การเกษตร หรือในหมู่บ้านตามท้องทุ่งนา รวมถึงตึกรามบ้านช่องต่างๆ ก็ได้รับการปัดกวาดดูแลอย่างดี ทำให้มองไปทางไหนก็ล้วนแต่เจริญสายตา
6. ชมสีสันและรายละเอียดของทิมพู (Thimphu)
จุดเด่นอย่างหนึ่งของที่นี่คือความรุ่มรวยสีสันและรายละเอียดที่ปรากฏให้เห็นได้จากสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดใหญ่ทิมพู (Buddha Dorenma) อนุสรณ์สถาน เช่น Memorial Chorten ป้อมปราการอย่าง Punakha Dzong ในพูนาคา ที่มีการใช้สีสันฉูดฉาดอย่างสีส้ม สีแดงก่ำ หรือสีเหลือง สร้างลวดลายต่างๆ เพื่อประดับประดาให้อาคารโดดเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมืองหลวงที่มีตึกคอนกรีตและบ้านไม้สไตล์ภูฏานดั้งเดิมให้เราชมตลอดเส้นทาง
7. ลิ้มรสอาหารเพื่อความยั่งยืน
ต้องบอกว่าวัฒนธรรมอาหารของชาวภูฏานค่อนข้างใกล้เคียงกับอาหารไทย เพราะทุกมื้อต้องมาพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และเครื่องเคียงที่มีทั้งเนื้อสัตว์อย่างไก่ หมู วัว แกะ หรือจามรี แต่ไม่ค่อยมีอาหารทะเลเท่าไรนัก เมนูที่เห็นทุกมื้อ ได้แก่ ผักต่างๆ ทั้งผัดผัก พริกผัดชีส หรือ Ema Datshi ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของภูฏาน และเป็นจานโปรดของนักท่องเที่ยวอย่างเราด้วย รวมถึงอาหารกินเล่นอย่าง Momo ที่คล้ายกับเสี่ยวหลงเปา มีให้กินทั้งแบบนึ่งและทอด ยิ่งกินกับน้ำพริกภูฏานที่ออกรสเผ็ดๆ หน่อย จะยิ่งเจริญอาหาร แต่ใครอย่าได้มองหาอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มาจากต่างประเทศเชียว เพราะที่นี่ไม่มีหรอกนะ
8. มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยด้วยตาของคุณเอง
หากคุณอยากเห็นเทือกเขาหิมาลัยสักครั้งในชีวิต แนะนำให้มาที่ Dochula Pass ตั้งอยู่ระหว่างเมืองทิมพูไปพูนาคา ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถูปขนาดเล็กใหญ่กว่า 108 สถูป ที่มีเพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงทหารที่เสียชีวิตในสงคราม และที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวที่ควรค่าแก่การนั่งรถมาอีกด้วย เพราะในวันที่ฟ้าเปิด เราจะได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยที่ยิ่งใหญ่อย่างตระการตา รวมถึงเทือกเขาอื่นๆ แบบ 360 องศา
9. พบประชากรที่มีความสุขที่สุดในโลก
ใครอยากรู้ว่าหน้าตาของประชากรที่มีความสุขเป็นอย่างไรต้องมาเยือนภูฏาน เพราะประเทศแห่งนี้แม้ไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย หรือความอินเทรนด์เหมือนประเทศอื่นๆ แต่พวกเขากลับเป็นหนึ่งในประเทศที่คนมีความสุขที่สุดในโลก ด้วยความที่ชาวภูฏานให้ความสำคัญกับความสุขทางใจมากกว่าทางวัตถุ อีกทั้งยังถูกสร้างขึ้นภายใต้กรอบความสุขมวลรวมประชาชาติ หรือ GDH (Gross National Happiness) ที่ให้ความสำคัญและใส่ใจกับความรู้สึกของประชาชน ทำให้ชาวภูฏานไม่ต้องแบกรับภาระในการใช้ชีวิตมากนัก ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ไม่มีค่ารักษาพยาบาล บ้านเมืองปลอดภัย มีชั่วโมงการทำงานที่ไม่สูงเหมือนเมืองใหญ่ ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ จึงไม่น่าแปลกใจที่สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนออกมาจนนักท่องเที่ยวที่เจนจัดชีวิตในเมืองอย่างเรายังต้องแอบอิจฉา
10. ประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
ด้วยนโยบายการท่องเที่ยวที่เน้น High Value, Low Impact หรือน้อยแต่มาก ของประเทศภูฏาน ทำให้การเดินทางเข้าประเทศมีค่าธรรมเนียม 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน ซึ่งเงินส่วนนี้จะถูกนำไปพัฒนาโครงการต่างๆ ด้านศิลปวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวภูฏาน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนของเด็กๆ เช่นเดียวกับเรื่องคาร์บอนเครดิต
ดังนั้นเราจึงไม่อยากให้มองว่า 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน เป็นเงินเสียเปล่าที่คุณจำต้องจ่าย แต่อยากให้มองเป็นค่าทำนุบำรุงประเทศ และใช้ในการจุนเจือเด็กๆ และคนสูงวัย เพราะเอาเข้าจริงค่าครองชีพของที่นี่ก็ไม่ได้สูง ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ มีราคาไม่แพง และโรงแรมยังมีหลายระดับให้เลือกพัก ส่วนตัวเราจึงมองว่าเงินที่จ่ายไปคุ้มค่ากับการได้มาเยือนดินแดนที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างภูฏาน ซึ่งไม่น่าจะมีประเทศใดในโลกที่จะมอบประสบการณ์เช่นนี้ให้กับเราได้อีก
ภาพ: ภัทรศยา เชาว์รัศมีกุล, Tourism of Bhutan
สามารถคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.Bhutan.travel