×

“อยากกลับไปหา แต่ไปไม่ได้” เมื่อชีวิตต้องหยุดเดินทาง ปากท้องที่ต้องสู้ ความคิดถึงในห้วงโควิด-19

13.04.2021
  • LOADING...
อยากกลับไปหา แต่ไปไม่ได้

“ชีวิตคือการเดินทาง” เชื่อว่าประโยคบอกเล่าแกมเปรียบเปรยบทนี้ หลายคนคงเคยได้ยินจนคุ้นหู และนั่นอาจหมายถึงห้วงชีวิตปกติก่อนโรคระบาดที่ชื่อโควิด-19 จะคืบคลานเข้ามาในชีวิตของเรา

 

เวลานี้ชีวิตอาจหมายถึงการหยุดเดินทาง เพราะกำแพงจากโควิด-19 ที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบใหม่ได้กั้นขวางชีวิตพวกเราไว้ และทำให้ต้องรักษาระยะห่างจากกัน ‘เรา เขา ฉัน เธอ พ่อ แม่ ลูก’ คนในครอบครัว อาจจะไม่ได้พบกันในช่วงนี้

 

แต่ถ้าความคิดถึงกำลังเดินทาง เราก็เชื่อว่าความปรารถนา ความรู้สึก ความห่วงใย ของผู้คนในเมืองหลวงที่ THE STANDARD ได้มีโอกาสพูดคุย คงเดินทางไปถึงล่วงหน้าแล้ว 

 

และนี่คือเรื่องราวของหลายชีวิตที่ต้องต่อสู้เพื่อปากท้อง เพื่อคนที่รัก และเพื่อหวังว่าวันหนึ่งเมื่อสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ดีขึ้น พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง

 

 

 

“โควิด-19 มา บ้านไม่ได้กลับ หาบแคบหมูขาย”

 

งามตา เธอเป็นพนักงานในร้านอาหาร บ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด แต่ปีนี้ไม่ได้กลับบ้านเหมือนเช่นเคย เพราะตอนแรกร้านที่เธอทำงานจะหยุดยาวช่วงสงกรานต์ เจ้าของร้านจะกลับบ้านที่เชียงใหม่ แต่หลังจากทราบข่าวการระบาดที่เชียงใหม่จึงทำให้เปลี่ยนแผน ไม่กลับในช่วงสงกรานต์ และปิดร้านเพียงสี่วัน งามตาจึงไม่ได้กลับบ้านที่ร้อยเอ็ดด้วยเช่นกัน เพราะกลัวจะกลับไปแพร่เชื้อให้คนที่บ้าน ในช่วงวันหยุดที่ไม่ได้กลับบ้านจึงไปรับแคบหมูจากตลาดคลองเตยมาหาบขายแถวย่านอโศกเพื่อหารายได้เสริม ปกติจะโทรคุยกับที่บ้านตลอด คิดถึงบ้านมาก

 

 

“เสาหลักของบ้าน กลัวลูกไม่มีกิน หวังชีวิตหลังสงกรานต์ได้พบหน้า”

 

วัน พ่อค้าขายกล้วยทอดย่านอโศก ทุกปีสงกรานต์วันจะกลับบ้านตลอดปีนี้ไม่ได้กลับ เพราะกลัวเสี่ยงโควิด-19 กลัวจะต้องกักตัวทำให้กลับมาขายของไม่ได้ กระทบต่อรายได้ เลยเลือกที่จะไม่กลับบ้าน ตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ ตัวคนเดียว ครอบครัวอยู่ที่ราชบุรีทั้งหมด คิดถึงลูกและครอบครัว เราเป็นเสาหลักของบ้าน ทำงานคนเดียว ส่งเงินเลี้ยงลูกและครอบครัว ถ้าเรากลับไปแล้วต้องถูกกักตัว เราจะไม่ได้กลับมาขายของ กลัวลูกจะไม่มีกิน ปกติช่วงสงกรานต์ทุกปีจะกลับบ้านหนึ่งสัปดาห์ ตอนนี้ทำได้แค่คุยทางไลน์ หรือวิดีโอคอลหากันเพื่อคลายความคิดถึง หลังสงกรานต์หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัว

 

 

“ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น โควิด-19 มายอดขายลดฮวบ”

 

สุจิตรา แม่ค้าขายพวงมาลัยใกล้ตึกแกรมมี่ อโศก ปกติกลับบ้านทุกปีที่กระบี่ แต่ปีนี้ไม่ได้กลับ เพราะว่ามีสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่ได้กลับไปเจอพ่อแม่ ปกติทุกปีจะต้องกลับไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ พาพ่อแม่ไปกินอาหารอร่อยๆ ไปเที่ยวด้วยกัน แต่พอมาปีนี้ไม่ได้กลับ กลัวกลับไปจะต้องไปกักตัว กลับมาขายของไม่ได้ เศรษฐกิจก็แย่ คนไม่กล้าใช้เงิน ยอดขาดลดลงเยอะ ตอนนี้เศรษฐกิจเมื่อเทียบกับโควิด-19 รอบก่อนๆ รอบนี้หนักสุด ขายของได้น้อยกว่าทุกรอบ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น จากทุกปีจะได้ยอดขายดอกไม้เยอะมากในวันสงกรานต์ ทั้งไหว้ญาติผู้ใหญ่ ไหว้พระ สรงน้ำพระ และมะลิคล้องคอ แต่พอปีนี้ไม่ได้มีการจัดงานสงกรานต์ และมีโควิด-19 เข้ามา ทำให้ยอดขาดลดฮวบลงไป

 

 

“ขอไม่กลับบ้าน เราอยู่พื้นที่เสี่ยงสูง”

 

สมพิศ ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ กทม. ฝ่ายรักษาความสะอาด ไม่ได้กลับบ้านที่อ่างทอง เราไม่กล้ากลับ เพราะตัวเราทำงานอยู่ใน กทม. ถือเป็นจุดที่มีความเสี่ยงสูง เลือกที่จะไม่กลับดีกว่า กลัวจะเอาเชื้อไปติดคนที่บ้าน เป็นห่วงคนที่บ้าน เลยเลือกที่จะไม่เดินทางกลับ 

 

 

“อยากกลับบ้านที่เลย แต่ไม่มีเงินเก็บเลยเพราะโควิด-19”

 

โกมลเพ็ชร พ่อค้าขายขนมโตเกียวแยกสะพานควาย ตอนแรกตั้งใจจะกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเลยในช่วงสงกรานต์ แต่ด้วยพิษของเศรษฐกิจในรอบนี้ ทำให้รายได้หายไปเกือบครึ่งหนึ่งจากเดิม ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาดในรอบแรก จนมาถึงรอบปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่มีเงินเก็บเลยในแต่ละเดือน ทำไปใช้ไปเดือนชนเดือน จึงไม่สามารถที่จะมีค่าเดินทางกลับบ้าน และอีกเหตุผลหนึ่งคือเรื่องที่จะต้องกักตัว หากเดินทางไป ทำให้กลับมาขายขนมไม่ได้ ทำให้ขาดรายได้อีก เพราะเราต้องหาเลี้ยงคนในครอบครัวด้วย เลยเลือกที่จะไม่ไปดีกว่า

 

 

“คิดถึงลูกและแฟนมาก โทรหาแต่ไม่อบอุ่นเหมือนเจอกัน”

 

จ่อย แม่บ้านร้านอาหารแห่งหนึ่งในซอยคาวบอย บ้านเกิดอยู่ที่กาฬสินธุ์ ไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่โควิด-19 ระบาดรอบแรกในช่วงต้นปีที่แล้ว เพราะกลัวว่าจะกลับไปแพร่เชื้อและต้องกักตัว ทำให้ลำบากหากจะกลับมาทำงาน เพราะมาจากพื้นที่เสี่ยง คิดถึงลูกและแฟนมากเพราะไม่ได้กลับไปเจอ ตอนนี้คิดถึงก็ทำได้เพียงโทรหากัน แต่ไม่อบอุ่นเหมือนได้เจอกัน

 

 

“อยากกลับไปเจอมากกว่า”

 

สมควร แม่ค้าขายผลไม้แยกสะพานควาย ปกติกลับบ้านช่วงสงกรานต์ทุกปี จะมีการรวมญาติกันในทุกๆ ปี เพื่อรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ที่ศรีสะเกษ เป็นโอกาสเดียวที่จะได้เจอญาติปีละครั้งพร้อมหน้าพร้อมตากัน ปีนี้กับปีที่แล้วเป็นสองปีแล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน เพราะโควิด-19 เราอยู่ในเขตพื้นที่สีแดง พ่อแม่อายุมากแล้ว ภูมิคุ้มกันน้อย กลัวว่าจะพาเชื้อไปติดที่บ้าน แล้วท่านจะเป็นอะไรไป ปกติคุยทางโทรศัพท์กันทุกสัปดาห์ แต่อยากกลับไปเจอมากกว่า

 

 

“รอสถานการณ์ดีขึ้นจะกลับไปหาลูกและพ่อแม่ให้ได้”

 

อรอนงค์ แม่ค้าส้มตำย่านเพชรบุรี ปีนี้ไม่ได้กลับบ้านเพราะโควิด-19 จริงๆ ตั้งใจจะกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ เพราะจะได้กลับไปหาลูกที่ศรีสะเกษ คิดถึงลูก แต่เกิดมีการระบาดรอบใหม่ขึ้นมากะทันหัน ทำให้ไม่ได้กลับไม่เจอลูก คิดถึงลูกมาก รอสถานการณ์ดีขึ้นตั้งใจจะกลับไปหาลูกและพ่อแม่ให้ได้

 

 

“อยากจะกลับไปซ่อมแซมบ้านที่ร้อยเอ็ดให้พ่อแม่”

 

อดิสรณ์ ช่างกระจกและอะลูมิเนียมย่านอินทามระ ปีนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับไปเยี่ยมญาติ และถือโอกาสไปซ่อมแซมบ้านที่ร้อยเอ็ดให้พ่อแม่ แล้วก็มาเจอโควิด-19 เลยไม่ได้กลับ กลัวว่าตอนเดินทางจะเข้าจังหวัดต่างๆ ไม่ได้ แล้วตีรถกลับเสียเที่ยว มีเด็กๆ ไปด้วยกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เลยตัดสินใจว่าไม่กลับดีกว่า ทางบ้านญาติๆ และเพื่อนๆ โทรมาถามว่าไม่กลับหรือ เราบอกว่าไม่กลับ กลัวกลับไปแล้วที่บ้านไม่สบายใจ ไม่สะดวก เพราะเรามาจากพื้นที่เสี่ยง เราเลยคิดว่าไม่กลับดีกว่า สบายใจและปลอดภัยกับทุกฝ่ายด้วย

 

 

“อยากให้โควิด-19 หายไปไวๆ จะได้กลับบ้านที่กัมพูชา”

 

เอ็ง เป็นแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชา ทำงานก่อสร้างอยู่ย่านอโศก ไม่ได้กลับบ้านที่กัมพูชาช่วงสงกรานต์มาสองปีแล้ว เพราะมาทำงานที่ไทยช่วงโควิด-19 ระบาดรอบแรกพอดี ทำให้ไม่สามารถกลับบ้านได้ ปกติจะวิดีโอคอลคุยกับพ่อแม่ทางเฟซบุ๊กและไลน์ทุกวัน อยากกลับบ้านเพราะจะได้กลับไปเจอพ่อแม่ อยากให้โควิด-19 หายไปไวๆ จะได้มีโอกาสกลับไปบ้านที่กัมพูชา ตอนนี้เหมือนรอเวลา ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับบ้าน 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X