ผมยังจำหน้าปกนิตยสาร Time ฉบับปี 2013 ได้ดี
หน้าปกของ Time เป็นรูปเด็กรุ่นใหม่นอนบนพื้น ท่าทางดูมีความสุข และในมือมีสมาร์ทโฟน เธอหันโทรศัพท์มาที่ตัวเธอเองในแบบที่ยุคดิจิทัลให้กำเนิดศัพท์คำใหม่ที่เรียกท่าทางแบบนี้ว่า ‘Selfie’ บนโปรยปกเขียนว่า ‘THE ME ME ME GENERATION. Millennials are lazy, entitled narcissists, who still lives with their parents. Why they’ll save us all’ หรือ ‘คนรุ่นที่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง ตัวเอง และตัวเอง มิลเลนเนียลเป็นคนขี้เกียจ ได้ชื่อว่าลุ่มหลงหมกมุ่นกับเรื่องของตัวเอง และยังคงอาศัยอยู่กับผู้ปกครอง และทำไมพวกเขากำลังจะมาช่วยชีวิตพวกเรา”
ที่ผ่านมาคนรุ่นมิลเลนเนียลหรือ ‘เด็กสมัยนี้’ ตกเป็นจำเลยของสังคมมาตลอด เมื่อไรก็ตามที่มีคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ขึ้นมามักจะเป็นตามมาด้วยเรื่องในเชิงดูแคลนสักหน่อย (แบบเดียวกับโปรยปก Time นั่นแหละ) จริงอยู่ว่า ในมุมหนึ่ง ‘เด็กสมัยนี้’ ก็สนใจเรื่องตัวเอง ขี้เกียจ และยังอยู่บ้านพ่อแม่อยู่ แต่นั่นมันก็เป็นแค่มุมเดียว มิติเดียวในการมองคนยุคนี้ เผลอๆ จะเป็นการเหมารวมด้วยซ้ำ ผมคิดว่าพวกเขามีอะไรมากกว่านั้น
ผมชวนตัวแทนของ ‘เด็กสมัยนี้’ (ซึ่งยังคงอาศัยอยู่บ้านพ่อแม่อยู่ — แล้วไง?) และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กสมัยนี้ ทั้ง เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ และ คิทตี้-ชิชา อมาตยกุล มาคุยกันว่าด้วยเรื่องของ ‘เด็กสมัยนี้’ พอผมบอกหัวข้อไปให้กับสองคนนี้ พวกเขาหัวเราะและบอกว่า ดีเหมือนกันที่จะได้สัมภาษณ์ อย่างน้อยวันหนึ่งเมื่อโตกว่านี้จะได้ไม่เรียกใครว่า ‘เด็กสมัยนี้’ ในเชิงดูแคลนเขา
ที่จริงพวกเขาอายุเลยการเป็น ‘เด็ก’ แล้วด้วยซ้ำ เจมส์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้ว ส่วนคิทตี้เรียนจบด้านบริหารธุรกิจและกฎหมายมาแล้ว กระนั้น ภาพที่สังคมมองพวกเขาก็ยังคงเป็น ‘เด็ก’ อยู่ — นั่นสิครับ ประเทศไทยเราจะให้คนเป็น ‘เด็ก’ กันถึงเมื่อไรกัน
แต่หลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ คุณอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับประโยคสุดท้ายบนปก Time ฉบับนั้นก็ได้ว่า พวกเขากำลังจะมาช่วยชีวิตพวกเรา และรู้สึกกับคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ เปลี่ยนไป
คุณคิดอย่างไรกับคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’
เจมส์: ผมว่าเขาชอบคิดว่าเด็กต้องโตถึงอายุเท่าหนึ่งถึงจะเป็นผู้ใหญ่ เขาชอบคิดว่าเรายังเป็นเด็กอยู่ คำว่าเด็กในที่นี้ของเขามันแปลว่า เราทำอะไรไม่เป็น แต่ไม่ใช่ทุกคนนะครับ เด็กมันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว ไม่ใช่คุณเรียนจบแล้วถึงเป็นผู้ใหญ่ ผมว่าเดี๋ยวนี้เด็กมันเจอตัวเองเร็วมากขึ้น พอมีโลกโซเชียล เราชอบอะไรก็สามารถเรียนรู้กับมันได้เร็วขึ้น แสดงออกถึงตัวตนของเราได้มากขึ้น เป็นตัวเองได้มากขึ้น
คิทตี้: จริงๆ แล้วคิทว่าไม่ว่าจะช่วงวัยไหนก็ตาม เราก็มีทั้งความเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ความเป็นเด็กผสมกันอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าเด็กสมัยนี้อยู่ในยุคที่สามารถเลือกเสพสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบได้ เราสามารถที่จะเลือกจุดโฟกัสของเราได้ชัดเจนกว่าช่วงอายุที่ผ่านๆ มา และแสดงออกได้มากขึ้น เพราะเรามีโลกโซเชียล มันเลยได้เห็นความหลากหลายมากขึ้น บางอย่างที่เคยเป็น Subculture ในสมัยก่อนก็กลายมาเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะคนพร้อมจะแสดงออกและเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น
การเป็นตัวเองหรือการทำตามหัวใจตัวเองมันสำคัญอย่างไรกับเด็กสมัยนี้
เจมส์: ผมรู้สึกว่าสมัยนี้เราสามารถเป็นตัวเองได้มากขึ้นเยอะ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบที่สร้างไว้ โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว อย่างตัวผมเอง ผมก็ไม่ได้แคร์ว่าเป็นผู้ชายจะแต่งหน้าไม่ได้ หรือเอาเสื้อผ้าของผู้หญิงมาใส่ไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด แต่ผมก็ต้องเลือกนิดหนึ่งว่าคงไม่ได้ใส่ทุกอย่าง ให้ผมใส่เสื้อสายเดี่ยวก็อาจจะไม่ได้ มันยากไป (หัวเราะ)
คิทตี้: เราอยากให้เจมส์ลองใส่ส้นสูงแบบผู้หญิง ไม่ใช่แค่ส้นตึกของผู้ชายนะ เพราะส้นสูงนี่แหละไอเท็มที่ฆ่าผู้หญิงเลยล่ะ เจมส์อาจจะเข้าใจผู้หญิงมากขึ้นก็ได้ (หัวเราะ)
เจมส์: เรื่องเพศมันเริ่มหายไปแล้วนะบนเรื่องแฟชั่น เขาเริ่มทำเสื้อผ้าให้ใส่ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และผมก็รู้สึกว่ามันยิ่งทำให้เราสนุกในการแต่งตัวมากขึ้น อย่างเสื้อตัวนี้ที่ผมกับคิทตี้ใส่นี่ก็เอามาสลับกันใส่ได้เลย
คิทตี้: ที่จริงไม่ใช่แค่กับเด็กสมัยนี้นะ บางทีเราเห็นคนแก่ที่ยังสนุกกับการแต่งตัว เรายังรู้สึกเลยว่าเจ๋งดี เพราะเขายังเป็นตัวเองอยู่ ทำตามหัวใจตัวเองอยู่ ไม่ใช่ว่าแก่แล้วจะต้องอยู่ในกรอบของคนแก่ที่ทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ ไม่ต่างกับเรื่องของเด็กสมัยนี้ ที่จริงการเป็นตัวเองและไม่ยอมให้มีกรอบมาขังตัวเราไว้มันก็ดีทั้งนั้นไม่ว่าจะกับวัยไหน
แน่นอนว่าการทำตามหัวใจตัวเองมันดี แต่คุณจัดการกับเสียงของคนอื่นที่วิจารณ์การเป็นตัวเองของพวกคุณอย่างไร
เจมส์: ผมจะโดนเยอะ ยิ่งช่วงนี้หนักหน่อยก็คือเรื่องเพศ พอเขาเห็นเราแต่งหน้า แต่งตัว หรืออาจจะด้วยท่าทางบางอย่าง เขาก็จะบอกว่า เป็นใช่ไหม อุ๊ย! สาวจัง ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมกลับรู้สึกว่า ถ้าผมจะเป็นเพศไหนมันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ใคร หรือไม่ได้แปลว่าผมจะทำงานแสดงได้แย่ลง มันไม่เกี่ยวเลยกับอาชีพหรือการสร้างประโยชน์ให้สังคม มันคือความสุขของเรา ความสุขผมมันไม่จำเป็นว่าคนอื่นต้องมากำหนด
คิทตี้: บางครั้งชื่อเสียงจะมาพร้อมพื้นที่ส่วนตัวที่ถูกรุกล้ำและคำตัดสินมากมายจากโลกโซเซียล ไม่ว่าใครก็ตามที่พิมพ์อยู่หรือกำลังจะคอมเมนต์ อยากให้ลองคิดว่า ถ้ามายืนอยู่ในสปอตไลต์แบบเราแล้วโดนรุมจากคำพูดที่ไม่ดีแบบนี้บ้างจะเป็นอย่างไร ถ้าคุณเองก็ไม่ชอบที่จะถูกทำร้าย ก็อย่าทำกับคนอื่นก็พอ
ผู้ใหญ่ชอบมองว่า เด็กสมัยนี้ไม่สนใจประเด็นทางสังคมหรอก ผมเลยอยากชวนพวกคุณคุยเรื่องประเด็นทางสังคมบ้าง และอยากได้ฟังมุมมองของเด็กสมัยนี้อย่างคุณที่มองมายังสังคม พวกคุณคิดอย่างไรกับการอนุญาตให้นักเรียนใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียนได้
คิทตี้: ถ้าเป็นเรื่องของการใส่ยูนิฟอร์ม สิ่งแรกที่ดีก็คือการสอนให้เด็กตั้งแต่เล็กเรียนรู้ที่จะเคารพกฎกติกาของสังคม ในขณะเดียวกันการที่ให้เขาแต่งตัวด้วยชุดไปรเวทมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด
เจมส์: และเราได้เห็นตัวตนของเขามากขึ้นด้วยนะ เพราะการแต่งกายมันบอกตัวตนของเรา คือพอแต่งปุ๊บเราจะเห็นว่าคนนี้เป็นประมาณนี้ สามารถทำให้เราเห็นว่า เฮ้ย! เราชอบอะไรคล้ายๆ กัน ก็อาจจะเข้าไปคุย ได้เพื่อนใหม่ได้ด้วย
คิทตี้: ผู้ใหญ่ที่เคยเป็นเด็ก วันหนึ่งในโรงเรียนที่เคยใส่ชุดนักเรียนเหมือนกัน แล้วเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่ดี ในสังคมจริงๆ ที่เราอยู่กันก็ไม่ได้มีความเท่าเทียมกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเด็กจะต้องเรียนรู้ เติบโตในสังคมแบบนั้นตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ก็ยอมรับว่าเราซื้อไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ มันไม่ได้หมายความว่าเราจะออกจากบ้านไม่ได้ หรือแปลว่าไม่มีแล้วจะไม่มีใครคบ หรือมีแล้วฉันดีกว่าคนอื่น เราน่าจะใช้มันเป็นเรื่องที่สอนให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้นได้แบบที่เราไม่ตัดสินคนอื่นจากเปลือกนอกที่เขามี
มีคลิปเสียงของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่บอกว่ากะเทยไม่สมควรเป็นครู พวกคุณคิดว่า LGBT เป็นครูได้ไหม
คิทตี้: เป็นได้ค่ะ ทำไมจะเป็นไม่ได้ การไปปิดกั้นมันใจร้ายนะคะ เราควรจะมีความเคารพในความเป็นมนุษย์ของคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
เจมส์: คุณค่าความเป็นคนคนหนึ่งมันไม่ได้ตัดสินกันที่เพศ มันตัดสินกันที่ตัวของคุณ มันตัดสินกันที่งาน มันตัดสินกันที่นิสัยของคุณ การเป็นครูอาจารย์เหมือนกัน มันวัดที่ว่าคุณมีความรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้ออกไปให้เด็กเข้าใจได้มากกว่า
คิทตี้: ใช่ แล้วคุณสามารถ Shape เด็กที่จะเป็นอนาคตของชาติให้เติบโตได้อย่างงดงามได้แค่ไหน แล้วลองคิดดูสิคะว่า ถ้าคนที่เหยียดเพศสอนเด็ก แล้วเด็กโตมาเหยียดเพศ นั่นจะเป็นสังคมที่เราอยากอยู่จริงๆ หรือเปล่า
มันมีอะไรบ้างในระบบการศึกษาไทยที่คุณคิดว่าต้องเปลี่ยน
เจมส์: ผมคิดว่าควรมีวิชาเข้าใจผู้อื่น เป็นวิชาที่ควรมีมากเลยครับ เราควรมีวิชาที่ไม่ได้สอนแต่ความรู้ สอนในเรื่องของการใช้ชีวิตหน่อย แต่ยังมีอยู่วิชาหนึ่งที่ผมชอบมากที่มีอยู่ในเวลาเรียนนะ คือวิชาแนะแนว มันเป็นวิชาที่ดีมากนะ และควรจะให้ความสำคัญกับวิชานี้ แต่มันดันเป็นวิชาที่โรงเรียนให้เวลาและความสำคัญกับเรื่องนี้น้อยมาก ทั้งๆ ที่มันคือช่วงเวลาที่เราจะได้มาเรียนรู้กันว่าเราควรจะเดินไปทางไหน ทำไมเราต้องรอให้เข้ามหาวิทยาลัยก่อนถึงจะเพิ่งเจอตัวเอง ในเมื่อเรามีโอกาสที่เราจะเจอตัวเองเยอะมากกว่าเดิมตั้งแต่ในโรงเรียนด้วยซ้ำ อีกอย่างคือ มันมีอีกค่านิยมหนึ่งที่ควรได้รับการแก้ไขมาก ค่านิยมที่คือคุณเรียนวิทย์แปลว่าคุณเก่ง คุณเรียนศิลป์คำนวณแปลว่าคุณโง่กว่าห้องวิทย์
คิทตี้: เราควรสร้างค่านิยมที่ทำให้เด็กเข้าใจว่าเราจะเดินสายสายไหนก็ไม่ผิด ไม่มีอาชีพไหนดีกว่าอาชีพไหน ทุกอาชีพมันดีหมด มันส่งเสริมระบบนิเวศให้กับประเทศชาติ แต่ว่าหลายๆ ครั้ง เด็กหลายๆ คนอาจจะอยากเรียนบางอย่าง แต่ลึกๆ กลัวว่าจะอายเพื่อน กลัวเพื่อนว่า กลัวพ่อแม่ว่าหรืออะไรก็ตาม เพราะมันมีการให้ค่ากับบางสายอาชีพไว้สูงกว่าอาชีพอื่น คิทตี้ยังคิดเลยว่า คนที่จบ ปวช. นี่เขาเก่งนะคะ หรือกลุ่มงานฝีมือ งานช่างทั้งหลาย พวกนี้ใช้ทักษะสูงหมดเลย เผลอๆ อาจจะเก่งกว่าคนที่จบปริญญาตรีบางคนด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าเราให้เด็กไปในทางที่เขารักและสนับสนุนเขา เขาจะมีความพิเศษแน่นอน
ในฐานะที่พวกคุณกำลังจะได้เลือกตั้งเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งในที่สุดพวกเราก็ได้เลือกตั้งกันสักที พวกคุณมีอะไรอยากจะบอกเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้บ้าง
คิทตี้: มันน่าสนใจที่ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นอย่างไร เพราะเราว่างเว้นจากการเลือกตั้งมาค่อนข้างนาน กลุ่มการเมืองแต่ละกลุ่มก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะ เช่นเดียวกัน คนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็มีมาก ซึ่งเราไม่เคยรู้เลยว่าพวกเขาคิดอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากให้ประเทศเปลี่ยนแปลง คุณต้องเริ่มต้นที่ตัวเอง แล้วถ้าทุกคนเปลี่ยนแปลงกันหมดเราก็จะเห็นประเทศที่ดีขึ้น มันอยู่ที่ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าจะผลักดันให้ประเทศไปในทิศทางไหน
เจมส์: หนึ่งเสียงของเรามันสำคัญมาก อย่าคิดว่าเราแค่เสียงเดียวเอง การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เงินภาษีที่เราเสียไป สุดท้ายเราต้องเสียให้รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศให้เรา เพราะฉะนั้น เราต้องเลือกคนที่ทำให้ประเทศพัฒนา
คุณอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร
คิทตี้: อยากให้ประเทศของเราเป็นประเทศที่ถ้าเรามีลูกเราอยากให้เติบโตที่นี่ค่ะ
เจมส์: เหมือนอย่างที่คิทบอกเหมือนกัน เพราะถ้าเราอยู่ในสังคมที่เราอยากให้ลูกหลานเติบโตที่นี่แสดงว่ามันดี ไม่ใช่ว่าเราอยากให้เขาออกไปที่อื่นเพราะเชื่อว่าสังคมที่อื่นมันดีกว่า เราน่าจะทำให้สิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นในประเทศเรานี่แหละ
เด็กสมัยนี้อย่างคุณได้เรียนรู้อะไรจากคนรุ่นก่อนๆ บ้าง
เจมส์: มันมีความแตกต่างกัน การที่ผู้ใหญ่สมัยก่อนจะประสบความสำเร็จมากๆ ได้มาจากการทำงาน มันมีบันไดอยู่ที่ว่าเมื่อคุณทำงานจนวันหนึ่งมันพิสูจน์ตัวคุณได้นั่นคือประสบความสำเร็จ แต่มันใช้เวลานานมาก พอเดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเริ่มง่ายขึ้น ทุกอย่างมันเริ่มเร็วมากขึ้น ในขณะเดียวกันการที่ไปได้เร็วมากขึ้น มันก็หล่นได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน มันเป็นความแตกต่างที่ชัดเจน ผู้ใหญ่ก้าวบันไดแต่เด็กขึ้นลิฟต์ และที่ลิฟต์มันมีความไม่มั่นคงอยู่ คุณแค่ต้องทำให้มันมั่นคงให้ได้
คิทตี้: อันนี้เห็นด้วย คนรุ่นก่อนรู้จักการอดทนและการรอคอย เด็กรุ่นใหม่ก็ควรเรียนรู้ที่จะอดทน รอคอย เพราะว่าไม่ได้ดีดนิ้วแล้วได้ทุกอย่าง ตอนเด็กๆ เวลาคิทอยากได้ของเล่นอะไร คุณแม่จะซื้อมันมาแล้วเอามาใส่ในตู้แล้วล็อกไว้ให้เราเห็นมันทุกวัน แต่เราครอบครองมันไม่ได้ เราต้องผ่านการทดสอบอะไรบางอย่างก่อน เช่น ทำตัวดีหรือสอบให้ได้ตามที่ตกลงไว้ เราถึงจะได้ของเล่นชิ้นนั้นมา โตมาก็คุยกับคุณแม่เรื่องนี้ก็เลยเข้าใจว่ามันคือการสอนให้เรารู้จักการรอคอย รู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ การจะได้อะไรมาต้องแลกกับความยากลำบากเสมอ
แล้วคนรุ่นก่อนสามารถเรียนรู้อะไรได้จากเด็กสมัยนี้บ้าง
คิทตี้: ความแตกต่าง ความกล้า คิทเชื่อว่าถ้าเราไปสำรวจในห้องของเด็กนักเรียน 30 คน มีแนวทางดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีความชอบที่แตกต่างกัน
เจมส์: ความกล้าที่จะแตกต่าง กล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ ที่จริงสิ่งนี้เราจะไปบอกว่าผู้ใหญ่ไม่กล้าก็อาจจะไม่ได้ เพราะแต่ก่อนเขาอาจจะไม่มีพื้นที่เปิดกว้างเหมือนปัจจุบันด้วย แต่เด็กสมัยนี้พอเขามีพื้นที่ เขาก็กล้ามากขึ้น
คุณอยากโตไปเป็นคนแบบไหน
คิทตี้: คิทไม่อยากเติบโตเป็นคนที่เรามองกลับมาแล้วมาเกลียด คือบางครั้งเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่บางครั้งเราก็ลืมไปว่าครั้งหนึ่งตอนที่เป็นเด็กเราเคยเกลียดอะไรแบบนี้ แต่เรากลายเป็นแบบนั้นเอง เราจึงเตือนตัวเองเสมอ และระมัดระวังตัวเพื่อเติบโตขึ้นเป็นเราที่เหมือนในเมื่อวานจะรักได้อยู่ เพราะฉะนั้น คิทตี้อยากโตไปเป็นคนที่คิทคนเมื่อวานจะยังรักตัวเองได้อยู่
เจมส์: ผมอยากให้คนจดจำว่าเราเป็นนักแสดงจริงๆ ไม่ใช่แค่ดารา ที่ไม่ได้มาจากแค่โชคอย่างเดียว อยากให้เขาเห็นถึงผลงานจริงๆ ผมเป็นคนที่เริ่มวงการมาวันแรกแล้วโดนคำด่ามากกว่าคำชม มันเป็นช่วงเวลาชีวิตที่ 5 ปี ที่ผมอยู่ในวงการผมต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เราต้องทำผลงานให้ดี แต่ผมเชื่อว่า คนเรามันไม่มีวันไหนที่ไม่เหมือนเดิม คนเราวันหนึ่งเราเจอเรื่องหนึ่งมามันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นไป
บทเรียน 3 ข้อจากการใช้ชีวิตด้วยการทำตามหัวใจตัวเอง ที่คุณอยากมอบให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นคืออะไร
คิทตี้: ข้อแรก บนโลกใบนี้สิ่งเดียวที่เท่าเทียมกันคือเวลา เพราะฉะนั้น การรอคอยหรือการที่ได้รับอะไรสักอย่างกลับมาจากเวลามันถึงจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เหมือนบทแนนโน๊ะก็เป็นบทแบบที่คิทรอคอยจะให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง และเมื่อเรามีโอกาสเราก็ใช้เวลากับมันอย่างคุ้มค่าที่สุดเพื่อให้เราไม่เสียใจ กว่าคิทจะผ่านมาถึงตรงนี้ได้ คิทก็เจออะไรมาไม่น้อย คิทยังรู้สึกว่าเราภูมิใจกับตัวเองที่เรายังอดทนกับตัวเองจนถึงทุกวันนี้ได้ ก้าวผ่านหลายๆ อย่างมาได้ แน่นอนว่ามันไม่ได้ดีทั้งหมดอยู่แล้ว แต่มันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นมาเป็นเราในทุกวันนี้
ข้อที่สอง เราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่องในตัวเองค่ะ ตัวเราเองยังมีสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเองเลย เพราะฉะนั้น เราต้องยอมรับและอยู่กับมันให้ได้
ข้อที่สาม อย่าตัดสินคนอื่นด้วยประสบการณ์ของตนเอง เพราะเราไม่รู้ว่าเขาผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง
เจมส์: ข้อแรก การมีชื่อเสียงมันไม่ยากหรอก การมีชื่อเสียงแบบมีคุณภาพมันยากกว่า การที่มีชื่อเสียงไม่ได้แปลว่าคุณเก่ง หรือคุณมีคุณภาพมาก ผลงานต่างหากที่เป็นตัวตัดสิน
ข้อที่สอง เราควรเปิดกว้างยอมรับในตัวของกันและกันได้แล้ว โลกมันเปิดกว้างเพราะเรากำลังเดินไปข้างหน้า อย่าอยู่กับที่ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันต่อไปเรื่อยๆ มันไม่ควรมีการเหยียดกันได้แล้ว เขาไม่ได้ทำร้ายอะไรเรา ทำไมเราต้องไปเหยียดเขา มันไม่เมกเซนส์
ข้อสุดท้าย เราควรมีความเห็นใจซึ่งกันและกัน มันเป็นสิ่งที่เล็กแต่สำคัญมาก มันจะทำให้สังคมเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์