×

เปิดลิสต์ ‘ภาคธุรกิจ’ จ่ายหนี้ไม่ไหว-ผิดนัดชำระเพิ่ม KResearch ห่วงภาษีทรัมป์อาจฉุดแนวโน้มชำระหนี้ครึ่งปีหลัง ‘ถดถอย’ ลุกลามถึงธุรกิจใหญ่

18.08.2025
  • LOADING...
kresearch-credit-quality-warning

หัวข้อในเนื้อหานี้


 

KResearch เผยคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงแทบทุกประเภทธุรกิจแย่ลง การผิดนัดชำระเพิ่ม ห่วงภาษีทรัมป์ฉุดแนวโน้มการชำระหนี้ในครึ่งหลังของปีนี้ ‘ถดถอย’ และลุกลามถึงธุรกิจขนาดใหญ่

 

กฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เปิดเผยว่า ตามฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า สินเชื่อธุรกิจมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นในหลายประเภทธุรกิจ เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ดังนี้

 

สินเชื่อธุรกิจการผลิต (Manufacturing) มีสัดส่วนสินเชื่อที่ผิดนัดชำระ 31-90 วัน (SM) และหนี้ที่ผิดนัดชำระเกิน 90 วัน (NPL) อยู่ที่ 7.36% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘ลดลง’ จากระดับ 8.18% จากสิ้นปี 2567 

 

  • สินเชื่อธุรกิจภาคค้าส่งและค้าปลีก (Wholesale & Retail) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 8.76% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 8.08% จากสิ้นปี 2567
  • สินเชื่อธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ (Construction & Real Estate) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 7.94% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 7.16% จากสิ้นปี 2567
  • สินเชื่อธุรกิจที่พักแรม (Accommodation) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 6.18% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 5.00% จากสิ้นปี 2567
  • สินเชื่อธุรกิจคมนาคม (Transportation) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 7.30% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 7.01% จากสิ้นปี 2567
  • สินเชื่อภาคเกษตร (Agriculture) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 18.43% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 16.55% จากสิ้นปี 2567
  • สินเชื่อข้อมูล (Information) มีสัดส่วนสินเชื่อ SM และ NPL อยู่ที่ 5.60% ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ‘เพิ่มขึ้น’ จากระดับ 2.88% จากสิ้นปี 2567

 

สินเชื่อธุรกิจ

 

ครึ่งหลังแนวโน้ม ‘ชำระหนี้’ มีโอกาสถดถอย ลุกลามถึงธุรกิจขนาดใหญ่

 

กฤษฏิ์กล่าวว่า “โดยสรุปจะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจที่เติบโต 3.1% ในไตรมาสแรกของปี 2568 ไม่ได้สะท้อนกลับมาที่คุณภาพสินเชื่อ เห็นได้จากคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงในทุกประเภทธุรกิจ ยกเว้น ‘ภาคการผลิต’ ที่ได้อานิสงส์จากการส่งออกที่เติบโตดีขึ้น แต่ในระยะครึ่งหลังของปี ไทยกำลังเผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ส่งออกครึ่งปีหลังอาจพลิกติดลบ จึงอาจจะเห็นการปรับขึ้นของสัดส่วนสินเชื่อที่ผิดนัดชำระ และคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงอาจลุกลามขึ้น และอาจลุกลามไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่”

 

พร้อมทั้งอธิบายต่อว่า “ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ใน ‘ระดับสูงที่สุด’ และส่วนที่เป็นธุรกิจ SME รายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่าคุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่ม SME รายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่างๆ ข้างต้น มีโอกาสถดถอยลงอีกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้”

 

ความสามารถชำระหนี้

 

ธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งผิดนัดชำระมากกว่ากลุ่มอื่นๆ

 

ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตามฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า ลูกค้าธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน เพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่นๆ

 

  • กลุ่มธุรกิจขนาด Super Micro มีหนี้เสีย (NPL)ในสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม
  • กลุ่มธุรกิจขนาด Micro มีหนี้เสีย (NPL) ในสัดส่วน 12.11% ของสินเชื่อรวม
  • กลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก (Small) มีหนี้เสีย (NPL) ในสัดส่วน 9.75% ของสินเชื่อรวม
  • กลุ่มธุรกิจขนาดกลาง (Medium) มีหนี้เสีย (NPL) ในสัดส่วน 6.51% ของสินเชื่อรวม
  • กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (Large) มีหนี้เสีย (NPL) ในสัดส่วน 1.37% ของสินเชื่อรวม

 

อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน มีทิศทางที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา

 

ธุรกิจขนาดเล็ก

 

กนง.ลดดอกเบี้ยรอบล่าสุด ลดภาระลูกหนี้ 7,000 ล้านบาท

 

ดร. กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ประเมินว่า หลังกนง.มีมติ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี และธนาคารพาณิชย์หลายแห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจปรับลดลงประมาณ 7,000 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานที่เริ่มคำนวณผลของภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงในช่วงระหว่างสิงหาคม-พฤศจิกายน

 

นอกจากนี้ ดร. กาญจนา ประเมินว่า สินเชื่อที่ได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยรอบนี้ คิดเป็นประมาณ 60% ของสินเชื่อรวมทั้งระบบ คิดเป็นเม็ดเงินราว

 

โดยกลุ่มสินเชื่อที่คาดว่า จะได้รับอานิสงส์มากที่สุดมี 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) ลูกหนี้รายย่อย โดยเฉพาะลูกหนี้สินเชื่อบ้าน หรือสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น Home For Cash และ (2) สินเชื่อธุรกิจ เนื่องจากโดยปกติแล้ว สินเชื่อธุรกิจจะผูกกับดอกเบี้ยลอยตัว 

 

ดร. กาญจนา

 

เชื่อจังหวะลดดอกเบี้ย กนง. ยังเหมาะสม ไม่ช้าเกินไป

 

ดร. กาญจนา ยังมองว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.รอบนี้จะช่วยลดภาระของกลุ่ม SME ได้ และไม่ถือเป็นจังหวะที่ช้าเกินไป เนื่องจาก ช่วงก่อนหน้านี้ ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากนโยบายภาษีการค้าสหรัฐฯ นอกจากนี้ พื้นที่ในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) ของธปท. ก็มีค่อนข้างจำกัด

 

“คิดว่า Timing เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงเริ่มต้นครึ่งปีหลัง ที่เศรษฐกิจกำลังจะแย่ลงกำลังจะโดนผลกระทบจากเรื่องภาษีของทรัมป์” ดร. กาญจนากล่าว

 

ธัญญลักษณ์ยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดต้นทุน มากกว่าชะลอการตกชั้น หรือการไหลจาก SM เป็น NPL เนื่องจาก แต่หากสุดท้าย SME เจอปัญหาที่รุนแรงขึ้น เช่น ขายของไม่ได้ การลดดอกเบี้ยก็เป็นเพียงการยืดลมหายใจเท่านั้น ถ้ารายได้ยังไม่กลับมา การลดดอกเบี้ยก็จะเป็นการยืดปัญหา หรือเป็นการช่วยประคับประคองมากกว่า

 

โจทย์แก้หนี้ระยะถัดไป ไทยยังมีช่องโหว่อะไรที่ต้องปิดบ้าง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทางการไทยควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ อันถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล

 

ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน เป็นต้น

 

นอกจากนี้ เนื่องจากเมื่อลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้น ลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย

 

รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรกๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แนวทางแก้หนี้ต่างๆ ดังกล่าว เป็นการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง

 

ธัญญลักษณ์ แนะเพิ่มเติมว่า เพื่อส่งเสริมกลไกการแก้หนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในระยะต่อไป ผู้กำหนดนโยบายควรรวมข้อมูลประวัติลูกหนี้ให้อยู่ที่เดียวกัน เพื่อทำให้เห็นข้อมูลลูกหนี้ทั้งหมด 

 

“การเห็นประวัติลูกหนี้ที่มากพอ และการรวมข้อมูลสำคัญไว้ในที่เดียวจะทำให้สามารถวางแผนการแก้หนี้ และจัดกลุ่มลูกหนี้ เพื่อวางแผนมาตรการการแก้หนี้ที่เหมาะสมได้” ธัญญลักษณ์ กล่าว

 

ธัญญลักษณ์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising