‘ก้าวทันทุกยุคสมัย’ อาจเป็น Key Success ของบริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือเคพีไอ (KPI) บริษัทประกันวินาศภัยในเครือธนาคารกรุงไทย ที่แม้จะผ่านช่วงเวลามากว่า 7 ทศวรรษ แต่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรที่มีแนวคิดสดใหม่และยังคงไว้ซึ่งการเป็นองค์กรที่พร้อม ‘ก้าวอย่างมุ่งมั่นเพื่อวันข้างหน้าที่ยั่งยืน’
“การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำไปพร้อมๆ กับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม” ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าว พร้อมพาย้อนกลับไปดูเส้นทางของ KPI ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ทำให้ KPI เติบโตอย่างมั่นคงในขวบปีที่ 70
ก่อนจะมาเป็นบริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในปี 2497 บริษัทประกันภัยแห่งนี้มีชื่อว่าบริษัท ร.ส.พ. ประกันภัย จำกัด และเป็นบริษัทประกันภัยเพียงแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศที่อยู่ในความอุปการะของรัฐ
ปี 2514 บริษัทได้เดินหน้าสู่ธุรกิจประกันวินาศภัยเต็มรูปแบบ และด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ปี 2538 จึงพร้อมที่จะขยายศักยภาพของบริษัทให้เติบโต โดยได้ร่วมทุนกับ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ซึ่งปัจจุบันถือหุ้นเป็นร้อยละ 45 ต่อมาในปี 2555 บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน
ดร.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า การเติบโตของธุรกิจนั้นนอกจากจะต้องมีกระบวนการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการจัดการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว เราต้องบริหารองค์กรควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
การผลัดใบครั้งใหม่นี้ แม้จะเป็นอีกปีที่มีความท้าทาย แต่สำหรับองค์กรที่ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตนเองและพร้อมเดินหน้าเติบโตไปกับลูกค้าในทุกยุคทุกสมัย จึงยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยอีกมาก
“แม้โลกจะเปลี่ยนไปในจังหวะที่เร็วกว่าเดิม KPI ในฐานะบริษัทประกันวินาศภัยก็ยิ่งต้องปรับตัวและก้าวไปให้ทัน ในปีที่ 70 ของ KPI จึงเป็นโจทย์ใหม่ที่เราจะดำเนินต่อไปภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Serving Friendly Insurance Services – ส่งมอบบริการประกันภัยที่เป็นมิตร’
“การปรับกลยุทธ์องค์กรในครั้งนี้ KPI เราจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อพัฒนาธุรกิจและกระบวนการทำงาน ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยและบริการที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ผ่านโมเดลธุรกิจแบบ Offline to Online บน Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตสำหรับลูกค้าในยุคปัจจุบัน”
ดร.พงษ์ภาณุ ยืนยันว่า KPI มีค่านิยมองค์กร หรือ Core Value ให้พนักงานได้ยึดถือและปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า CIT-TI ได้แก่ Customer Centric – ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง, Integrity – ซื่อสัตย์ ยึดมั่นจริยธรรม, Teamwork – ทำงานเป็นทีม, Target-Driven – มุ่งสู่เป้าหมาย และ Integrated Process – ทำงานแบบบูรณาการ
แม้จะต้องเดินหน้าด้วยโจทย์ใหม่ที่ท้าทาย สู่เป้าหมายของการส่งมอบบริการประกันภัยที่เป็นมิตรให้ได้ตามวิสัยทัศน์ใหม่ ซึ่งเราจะต้องให้ความสำคัญไปพร้อมๆ กันทั้ง 4 มิติ ดังนี้
- ลูกค้า ผู้บริโภค (Customers / Consumers)
- การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าในด้านการบริหารความเสี่ยง ทั้งในภาคบุคคลและธุรกิจ ผ่านการสื่อสารหลากหลายรูปแบบ
- การออกแบบความคุ้มครองสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยต่างๆ ให้ครอบคลุมกับความเสี่ยงที่มีในปัจจุบัน
- การพัฒนาช่องทางการเรียกร้องสินไหม และมีกระบวนการพิจารณาสินไหมทดแทนที่มีคุณภาพ
- พันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partners)
- การร่วมมือกันเพื่อพัฒนาโมเดิลธุรกิจใหม่ๆ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม
- การแลกเปลี่ยนมุมมองความรู้ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตอบโจทย์ต่อกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย
- บริหารต้นทุนและเวลาการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- พนักงานและครอบครัว (Staff and Families)
- ดูแลพนักงานทุกเจเนอเรชันให้ทำงานและเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างมีความสุข
- ส่งเสริมและพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นและสำคัญต่อการทำงาน
- การดูแลและส่งเสริมสุขภาพอนามัยและเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพนักงานและครอบครัว
- ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม (Community, Society, and Environment)
- ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ ใส่ใจต่อการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม
- สนับสนุนการใช้เทคโนโลยี เพื่อประหยัดพลังงานหรือลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก
- พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงลูกค้าทุกกลุ่มในสังคมรวมถึงกลุ่มผู้สูงวัย
ในฐานะที่ KPI เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักสากล SDGs โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เราทุกคนต้องหันมาช่วยกันดูแลโลกใบนี้ให้มากขึ้น เมื่อ KPI ย่างเข้าสู่ปีที่ 70 ยิ่งต้องตอกย้ำให้เห็นถึงจุดยืนของการเป็นองค์กรที่มีมุมมองใหม่ๆ ที่ต้องก้าวทันทุกการเปลี่ยนแปลง จึงมีนโยบายการบริหารองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวคิด ‘Step for Tomorrow Sustainability เคพีไอก้าวอย่างมุ่งมั่น เพื่อวันข้างหน้าที่ยั่งยืน’ ผ่านกิจกรรมโครงการต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับ 5 ด้าน ได้แก่
- Quality Education ส่งเสริมการศึกษาอย่างมีคุณภาพ นับเป็นปีที่ 10 ที่โครงการ ‘ห้องสมุดเคพีไอ ก้าวที่พร้อม เพื่ออนาคตเด็กไทย’ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและได้ส่งมอบห้องสมุดมีชีวิตให้กับโรงเรียนไปแล้ว 11 แห่งทั่วประเทศ และยังมีโครงการ KPI Internship ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ให้แก่นักศึกษาฝึกงาน ได้ทดลองทำโปรเจกต์และเรียนรู้การทำงานจากผู้มีประสบการณ์ตรง
- Good Health & Well Being ส่งเสริมการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ด้วยแนวคิดในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงลูกค้ากลุ่มต่างๆ รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง ให้มีโอกาสเข้าถึงการประกันภัยได้
- Climate Action การรับมือกับภาวะโลกร้อน การสนับสนุนกิจกรรมลด ละ เลิก การใช้ทรัพยากรที่ทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์กร มีการพัฒนาระบบกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Policy เพื่อเป้าหมายที่จะลดใช้กระดาษอย่างจริงจัง
- Responsible Consumption & Production การใส่ใจต่อกระบวนการผลิตและบริโภคอย่างรับผิดชอบ เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้ประกอบการแบบ Net Zero
- Reduce Inequality ลดความเหลื่อมล้ำ KPI ร่วมสนับสนุนนักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งคนพิการทีมไทย เพิ่มโอกาสสู่การแข่งขันในระดับสากล พร้อมทั้งสนับสนุนองค์กรต่างๆ เพื่อส่งเสริมการสร้างอาชีพแก่ผู้พิการ
จากตัวเลขผลประกอบการ ที่ KPI มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยในปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 7.6 โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 4,885 ล้านบาท อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ที่ 417.6% ในปี 2565 มีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด 48.99% ประกันรถยนต์ 40.23% ประกันอัคคีภัย 10.46% และประกันภัยทางทะเล 0.32% มีกำไรสุทธิที่ 758 ล้านบาท การจัดอันดับบริษัทประกันวินาศภัย หรือ Ranking ขยับจากอันดับที่ 22 (ในปี 2561) ขึ้นมาอันดับที่ 17 (ข้อมูลอ้างอิงสรุป ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565)
“ปี 2566 เราท้าทายตัวเองด้วยการตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,526 ล้านบาท หากเติบโตต่อเนื่องปีละ 15% ในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะไปถึงเป้าหมายที่หมื่นล้าน Ranking จะขยับขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 10 บริษัทประกันวินาศภัย
ดร.พงษ์ภาณุ กล่าวทิ้งท้ายว่า “อายุธุรกิจไม่ใช่สิ่งตัดสินใจว่าเราแก่เกินไปสำหรับวงการนี้ เรามองตัวเองเป็นเหมือนต้นไม้ที่ผลัดใบใหม่ทุกปี สิ่งที่ทำให้เราเป็นองค์กรที่สดใหม่อยู่เสมอคือ ‘บุคลากร’ เพราะเรามีคนหลายเจนที่มีจุดแข็งแตกต่างกัน แค่ต้องดึงจุดแข็งหาจุดร่วมให้ได้ สิ่งสำคัญคือเราเชื่อเรื่องการเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าอายุเท่าไรก็สามารถพัฒนาทักษะความรู้ใหม่ๆ ให้ก้าวทันโลกได้ เราเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพราะการที่เราจะปรับเปลี่ยนบริบทในการให้บริการลูกค้า ไม่ใช่แค่เราพูดเพราะ ยิ้มสวย แต่ต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจและพร้อมปรับตัวควบคู่ไปด้วย
“สิ่งที่เราเน้นย้ำคือ ทำอย่างไรให้คนเดินช้านั้นเดินเร็วขึ้น และคนเดินเร็วแล้วเดินเร็วเต็มศักยภาพ และทำอย่างไรให้คนสองกลุ่มชวนคนที่ไม่เดินให้เดินไปด้วยกัน ผมจะไม่พูดว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่เราต้องทำให้ทุกคนเดิน จะเดินเร็วหรือเดินช้าไม่เป็นไร เมื่อไรที่คุณเริ่มเดิน เดินไปเรื่อยๆ อย่างไรเราทุกคนก็ไปถึงเป้าหมายเดียวกัน”