วันนี้ (29 สิงหาคม) โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่พนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งในคดีที่พนักงานสอบสวนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้อง อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในความผิดฐานเป็นสมาชิกวุฒิสภาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้กระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน
เป็นสมาชิกวุฒิสภาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มีส่วนร่วมกระทำการใดๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในกิจกรรมหรือการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรู้ถึงวัตถุประสงค์และการดำเนินกิจกรรม หรือโดยรู้ถึงเจตนาที่จะกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว
โกศลวัฒน์กล่าวว่า เดิมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ทางพนักงานอัยการสำนักงานคดียาเสพติดได้นัดฟังคำสั่งเป็นครั้งที่ 2 แต่อุปกิตก็ได้แจ้งขอเลื่อนนัดฟังโดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา จึงได้สิทธิรับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งทางอัยการก็พิจารณาให้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 12 ตุลาคม
ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 131 บัญญัติเรื่องความคุ้มกันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ว่า ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด
กรณีที่มีการฟ้องสมาชิกรัฐสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะฟ้องในหรือนอกสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีระหว่างสมัยประชุมมิได้ ให้ฟ้องร้องได้แต่พิจารณาคดีไม่ได้ ยกเว้น 2 กรณี คือได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือกรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา, พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา ซึ่งการคุ้มกันนี้จะคุ้มครองเฉพาะบุคคลที่มีสถานภาพเป็นสมาชิกรัฐสภา เฉพาะกรณีของคดีอาญาเป็นเพียงการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างสมัยประชุมเท่านั้น เมื่อพ้นสมัยประชุมการคุ้มกันนี้จะหมดไปด้วย