ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันครั้งที่ 8 นี้ นอกเหนือจากผู้สมัครของ 2 พรรคการเมืองหลักอย่าง ไล่ชิงเต๋อ (Lai Ching-te) รองประธานาธิบดีไต้หวัน จากพรรครัฐบาล DPP (Democratic Progressive Party) และ โหวโหย่วอี๋ (Hou Yu-ih) นายกเทศมนตรีเมืองนิวไทเป จากพรรคก๊กมินตั๋ง (Kuomintang: KMT) ยังปรากฏผู้สมัคร ‘ทางเลือกที่ 3’ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจนน่าจับตามองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เขาคือ เคอเหวินเจ๋อ อดีตศัลยแพทย์วัย 64 ปี ที่เข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยการลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงไทเปในปี 2014 ในฐานะผู้สมัครอิสระ และสามารถคว้าชัยชนะไปได้ โดยได้คะแนนเสียงเหนือคู่แข่งจาก KMT ซึ่งถือเป็นการเปิดทางสู่อาชีพนักการเมืองอย่างสวยงาม และยังได้รับเลือกอีกสมัยในปี 2018 ก่อนจะครองตำแหน่งจนถึงปี 2022
จากนายกเทศมนตรีของเมืองหลวง เขามองการณ์ไกลถึงการชิงเก้าอี้ผู้นำไต้หวัน และเปิดตัวเป็น ‘กองกำลังที่ 3’ ท้าชิงอำนาจจาก 2 ขั้วการเมืองเดิม
ความน่าสนใจของชายผู้นี้ นอกจากจะเป็นทางเลือกและสีสันใหม่ให้แก่ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ยังต้องจับตามองไปถึงทิศทางของนโยบายบริหารรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายต่อจีน ซึ่งเขาเน้นย้ำมาตลอดระหว่างหาเสียงว่า “ทั้งสองฝั่งช่องแคบ (ช่องแคบไต้หวัน) เป็นครอบครัวเดียวกัน”
ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
เคอก่อตั้งพรรค TPP (Taiwan People’s Party / ไถวันหมินจ้งตั่ง) หรือพรรคประชาชนไต้หวัน ในปี 2019 ก่อนประกาศตัวเป็นผู้สมัครของพรรค ลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 13 มกราคมนี้ เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้ประชาชน
สำหรับผู้ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ จะเข้ามารับตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีไช่อิงเหวิน ซึ่งจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม หลังดำรงตำแหน่งครบ 2 สมัย
โดยสิ่งที่น่าจับตามองคือผู้นำคนใหม่จะกำหนดนโยบายระหว่างไต้หวันและจีนอย่างไร และจะรับมือกับแรงกดดันและการแทรกแซงทางการเมืองจากจีนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในทิศทางไหน ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรยากาศทางการเมืองระหว่างไต้หวันและจีนตึงเครียดต่อเนื่อง ภายใต้การนำของรัฐบาล DPP
เคอมองว่าปัญหาสำคัญที่แท้จริงของไต้หวันนั้นไม่ใช่จีน แต่เป็นภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนสินค้าจำเป็น และภัยสภาพอากาศ โดยเขากังวลต่อความเดือดร้อนของประชาชน และความเสี่ยงที่สงครามอาจเกิดขึ้นจากเกมการเมืองโลกมากกว่า
“ช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พรรคสีน้ำเงิน (KMT) และพรรคสีเขียว (DPP) ผลัดกันขึ้นสู่อำนาจ แต่ชีวิตของคนไต้หวันยังไม่ดีขึ้น ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างประชาชนทวีความรุนแรงมากขึ้น และอัตลักษณ์ประจำตัวของประชาชนไต้หวันก็เสี่ยงที่จะเกิดความแตกแยก เรายังไม่สามารถรับเอาทัศนคติที่มีเหตุผลและเป็นวิทยาศาสตร์มาใช้เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามและอันตรายที่แท้จริงของไต้หวันได้” เคอกล่าวสุนทรพจน์ต่อชมรมผู้สื่อข่าวต่างประเทศของไต้หวันเมื่อเร็วๆ นี้
เขาส่งเสริมนโยบายความอดทนต่อจีน และเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายเหมือนกับเนื้องอกที่ควร “ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ” ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายพยายามหารือเกี่ยวกับสถานะที่เป็นอยู่ (Status Quo) และความสัมพันธ์ในอนาคต
“30 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมเป็นศัลยแพทย์ ถ้าเราพบเนื้องอก เราก็จะพยายามเอามันออก แต่ในเวลานี้เราแค่พยายามอยู่กับมัน” เขากล่าว และมองว่า “จีนยังคงเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการจัดการ โดยไม่ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ระหว่างทั้งสองฝ่าย”
จากเขียวสู่น้ำเงิน
ย้อนกลับไปในช่วงที่ยังเป็นศัลยแพทย์ เคอสนับสนุน เฉินฉุยเปี่ยน (Chen Shui-bian) ประธานาธิบดีจากพรรค DPP ในขณะนั้นอย่างหมดใจ
โจ บาวเออร์ นักวิเคราะห์ในวอชิงตันชี้ว่า แม้ในช่วงหลังจากที่เฉินหมดวาระ และชื่อเสียงของเขามัวหมองด้วยข้อกล่าวหาเรื่องการคอร์รัปชัน เคอก็ยังคงภักดีต่อ DPP โดยล็อบบี้ให้เฉินได้รับการรักษาพยาบาลมากขึ้น และกล่าวหาว่าการฟ้องร้องต่ออดีตประธานาธิบดีเฉินมีแรงจูงใจทางการเมือง
การคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีกรุงไทเปของเคอ ก็ได้รับการสนับสนุนจาก DPP
อย่างไรก็ตาม ท่าทีระหว่างเคอและ DPP เริ่มออกห่างจากกัน จากการที่เขาเริ่มสนับสนุนการทำข้อตกลงทางการค้ากับจีน
โดยในช่วงแรกของการรับตำแหน่งนายกเทศมนตรีกรุงไทเปในปี 2014 เขาสนับสนุนกลุ่มนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วง กดดันให้รัฐบาลไต้หวันในขณะนั้นซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ KMT ยกเลิกข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับปักกิ่ง
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเคอบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ข้อตกลงทางการค้า (กับจีน) สามารถเกิดขึ้นได้ หลังจากที่รัฐสภาของไต้หวันออกกฎหมายกำกับดูแลข้อตกลงข้ามช่องแคบ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ควบคุมวิธีการพิจารณาและอนุมัติข้อตกลงระหว่างจีนและไต้หวัน”
โดยเคอมองว่าจีนนั้นยังเป็นตลาดที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับไต้หวัน และได้มีการขยายความสัมพันธ์ระหว่างกรุงไทเปกับจีนมากขึ้น ตลอดช่วง 8 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
ตั๋วร่วมฝ่ายค้านชิงประธานาธิบดี
ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้งช่วงปลายปีที่ผ่านมานั้น เคอถูกจับตามองมากขึ้น หลังมีบทบาทเสนอแนวทางใหม่ระหว่างพรรคฝ่ายค้านเพื่อคว้าชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยข้อเสนอที่เรียกว่า ‘ตั๋วประธานาธิบดีร่วม (Joint Presidential Ticket)’ หรือการจับมือทำข้อตกลงกันระหว่าง TPP และ KMT เพื่อเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้ง ทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีและสมาชิกสภานิติบัญญัติ และเสนอให้จัดการเลือกตั้งขั้นต้น (Primary Vote) เพื่อหาตัวผู้สมัครชิงประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี
ในตอนแรกทั้ง 2 พรรคตกลงที่จะร่วมมือกันในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและไม่แข่งกันเอง แต่ท้ายที่สุดเนื่องจากไม่มีสัญญาที่ชัดเจนหรือเป็นทางการ ทำให้ความร่วมมือไม่เกิดขึ้นจริง
ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ประกอบกับการลงทะเบียนสมัครชิงประธานาธิบดีแยกกันระหว่างเคอและโหว ทำให้หลายฝ่ายมองว่า การสร้างพันธมิตรฝ่ายค้านไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ขณะที่อุปสรรคสำคัญคือการกำหนดรูปแบบการจัดเลือกตั้งขั้นต้น ซึ่งเคออยากให้มีการลงคะแนนทางโทรศัพท์ร่วมด้วย และเน้นไปที่โทรศัพท์มือถือ ในขณะที่ KMT อยากให้เป็นการลงคะแนนด้วยตนเองมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความประหลาดใจกลับเกิดขึ้นหลังพรรค TPP และ KMT บรรลุข้อตกลงตั๋วประธานาธิบดีร่วมได้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน
ในตอนแรกดูเหมือนกับว่าทั้ง 2 ฝ่ายสามารถบรรลุความพยายามจัดตั้งพันธมิตร แต่ที่สุดแล้วก็ปรากฏรอยร้าวจากการที่พรรค TPP ไม่ได้เห็นด้วยกับเคอในการทำข้อตกลงนี้ และแนวทางการลงคะแนนทางโทรศัพท์ที่เคอสนับสนุนก็ไม่รับประกันว่าจะมีผลสำคัญให้เคอได้รับเลือกเป็นตัวแทนของ 2 พรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ด้วยเหตุนี้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 18 พฤศจิกายน แต่เคอยืนยันว่า เขายังพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับความร่วมมืออื่นๆ ระหว่างทั้ง 2 พรรค
คะแนนนิยมยังตามหลัง DPP และ KMT
หนึ่งในสิ่งที่หลายคนยกย่องเคอ คือความมุ่งมั่นและวัฒนธรรมในการทำงานอย่างแข็งขันของเขา ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ทำอาชีพศัลยแพทย์ เช่น การประชุมแก้ไขปัญหา และสรุปขั้นตอนปฏิบัติงานอย่างละเอียดตั้งแต่เช้า ก็ยังสืบต่อมาในช่วงดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
ซึ่งคนใกล้ชิดที่เคยทำงานร่วมกับเขา เชื่อมั่นว่าเขาจะนำเอาวัฒนธรรมการทำงานที่ดีเหล่านี้มาสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีได้อย่างแน่นอน
ขณะที่ท่าทีของเคอ ซึ่งไม่ยืนอยู่ฝ่ายใด โดยในทางหนึ่งก็กล่าวหา DPP ว่าทำให้ไต้หวันเสี่ยงอันตรายจากการสนับสนุนสงคราม แต่อีกทางหนึ่งก็วิพากษ์วิจารณ์ KMT ว่านอบน้อมให้จีนมากเกินไป ทำให้เขาได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอายุน้อยซึ่งมองหาทางเลือกใหม่ๆ
โดยแม้ว่าเคอจะไม่ปลุกปั่นฝูงชนในลักษณะเดียวกับนักการเมืองไต้หวันของทั้ง 2 ขั้ว แต่จุดยืนไม่ฝักใฝ่หรือเอนเอียงไปทางฝ่ายใดอย่างชัดเจน ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับชาวไต้หวันผู้มีสิทธิลงคะแนนที่มองหาทางเลือกใหม่ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา โดย The Economist ชี้ว่าไล่ชิงเต๋อและโหวโหย่วอี๋มีคะแนนนิยมนำเป็นอันดับ 1 และ 2 อยู่ที่ 36% และ 31% ตามลำดับ ส่วนเคอเหวินเจ๋อนั้นอยู่อันดับ 3 ที่ 24%
โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน คะแนนนิยมของเคอเคยสูสีกับโหว ซึ่งต้องจับตามองต่อไปว่า แนวทางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของเขา จะพาเขาไปได้ไกลแค่ไหนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันครั้งนี้
ภาพ: Ann Wang / REUTERS
อ้างอิง:
- https://apnews.com/article/taiwan-elections-taiwan-peoples-party-ko-candidate-22ee180674ab5d6fe7509cb20103130e
- https://asia.nikkei.com/Politics/Taiwan-elections/Ko-Wen-je-the-maverick-seeking-to-break-Taiwan-s-two-party-dominance#
- https://www.bbc.com/news/world-asia-67758997
- https://thediplomat.com/2023/11/from-green-to-blue-the-political-history-of-ko-wen-je/
- https://thediplomat.com/2023/11/how-the-taiwan-opposition-alliance-talks-fell-apart/
- https://www.economist.com/interactive/2024-taiwan-election