×

KKP Research ชี้ เงินเฟ้ออาจลากยาวหลายปี หวั่นไทยประเมินพลาดต้องขึ้นดอกเบี้ยไล่ตามซ้ำรอยสหรัฐฯ

15.06.2022
  • LOADING...
KKP Research

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร คาดการณ์ว่าเงินเฟ้ออาจไม่ใช่ปัญหาระยะสั้นและมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นยาวนานกว่าที่เคยประเมินไว้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยไทยกำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น โดยปรับคาดการณ์เงินเฟ้อขึ้นเป็น 6.6% ในปี 2022 และ 3.1% ในปี 2023

 

เงินเฟ้อที่คาดไม่ถึง

 

ในเดือนพฤษภาคมตัวเลขเงินเฟ้อในไทยพุ่งสูงขึ้นไปถึง 7.1% เป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 14 ปี และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ช่วงก่อนหน้าในสหรัฐอเมริกาที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาชั่วคราวและจบลงในช่วงกลางปี 2021 แต่กลับยังยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน

 

KKP Research ประเมินว่า แม้ปัจจัยกดดันเงินเฟ้อที่เกิดจากการเปิดเมืองอาจจะเริ่มคลี่คลาย แต่มีโอกาสที่เงินเฟ้อโลกและไทยจะยังคงอยู่ในระดับสูงและยังไม่ชะลอตัวลงจาก 3 เหตุผล คือ

 

  1. นโยบายการเงินตอบสนองต่อเงินเฟ้อช้า ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกับตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาสูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤต 1970-1980 สะท้อนว่านโยบายการเงินยังคงผ่อนคลายและเป็นตัวเร่งอุปสงค์ให้ยังเติบโตร้อนแรง

 

  1. การส่งผ่านของเงินเฟ้อไปยังสินค้าต่างๆ ยังมีอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์ปัจจุบันยังมีราคาสินค้าที่เตรียมปรับขึ้นอยู่อีก ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริการาคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากจากปัญหาต้นทุนและข้อจำกัดด้านอุปทาน และราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ ค้างอยู่ในระดับสูงในปี 2023

 

  1. ปัจจัยความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันและอาหาร และความเสี่ยงด้านการคาดการณ์เงินเฟ้อ แรงกดดันด้านเงินเฟ้อโลกที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายลง ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศจะยังมีมาก และนโยบายการเงินทั่วโลกจะมีทิศทางตึงตัวชัดเจนขึ้น จะกดดันให้ กนง. เริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งต่อไป โดยคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 3 ครั้งในปีนี้ และปรับขึ้นอีก 4 ครั้งในปี 2023

 

โลกเปลี่ยนดันเงินเฟ้อสูงยาวหลายปี

 

KKP Research ระบุว่า ปัญหาเงินเฟ้อไม่ได้น่ากังวลแค่ในระยะสั้นแต่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาวครอบคลุมถึงทศวรรษหน้า จากกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนทิศทางอย่างถาวร คือ

 

  1. การเข้าสู่จุดสูงสุดของยุคโลกาภิวัตน์ การเข้าร่วมการค้าโลกของจีนส่งผลให้ต้นทุนการผลิตทั่วโลกถูกลง อย่างไรก็ตาม ค่าจ้างแรงงานในจีนที่สูงขึ้นพร้อมกับภาวะเริ่มขาดแรงงาน ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศที่โตต่ำ สัญญาณความขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งจีนและสหรัฐฯ และรัสเซียและยูเครน การย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ เป็นสัญญาณสะท้อนจุดสูงสุดของโลกาภิวัตน์

 

  1. อำนาจตลาดที่มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง บริษัทในสหรัฐฯ มีแนวโน้มครองอำนาจตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

 

  1. สังคมสูงวัยในระดับโลกอาจเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แม้ว่าผู้สูงอายุจะบริโภคสินค้าน้อยกว่าคนวัยหนุ่มสาว แต่ปัจจัยสำคัญอีกทางหนึ่งคือสัดส่วนระหว่างคนสูงอายุเทียบกับประชากรวัยทำงานกำลังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง บ่งบอกว่าแรงงานและกำลังการผลิตกำลังลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้บริโภค

 

เงินเฟ้อเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย

 

KKP Research ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้มีความเสี่ยงกำลังจะเข้าสู่ภาวะ Stagflation ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในช่วงปลายปี 2023 ถึงปี 2024 โดยสถิติในอดีตสะท้อนให้เห็นว่า เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ จะนำเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยเกือบทุกครั้ง และสัญญาณจากตลาดการเงินที่ต้องจับตาดูคือ Inverted Yield Curve ซึ่งมักจะเกิดขึ้นก่อนภาวะเศรษฐกิจถดถอยประมาณ 1 ปี แม้ในปัจจุบันตลาดการเงินยังหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะ Soft-Landing หรือภาวะที่ไม่เกิดเศรษฐกิจถดถอย แต่ KKP Research มองว่ามีโอกาสน้อยลงไปเรื่อยๆ ในภาวะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อกำลังรุนแรงขึ้น

 

มาตรการช้าเกินไป

 

ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยยังแสดงความกังวลกับตัวเลขเงินเฟ้อน้อยมาก เมื่อย้อนดูเหตุการณ์เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นไปก่อนไทย ทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ในประเทศไทยจะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับในสหรัฐฯ ที่คาดการณ์เงินเฟ้อผิดพลาด โดยการคาดการณ์เงินเฟ้อของไทยมีความเสี่ยงที่จะต่ำเกินไป จากทั้งผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันต่อราคาสินค้าอื่นๆ ที่ยังมีต่อเนื่อง มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐที่ลดลง และค่าเงินบาทที่เริ่มปรับตัวอ่อนค่าลงซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้านำเข้า

 

ทั้งนี้ KKP Research ได้ปรับการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยเป็น 6.6% ในปี 2022 และ 3.1% ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าแรงกดดันในปัจจุบันจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง ในปี 2022 และขึ้นอีก 4 ครั้ง ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานจะทำให้การควบคุมเงินเฟ้อทำได้ยากขึ้น และธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเดิม

 

ความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย

 

นอกจากปัญหาเงินเฟ้อที่นำไปสู่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหรือเข้าสู่ภาวะถดถอย จะทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงได้รับผลกระทบอย่างมากผ่านช่องทางการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวแล้ว การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นในปี 2022 และ 2023 อาจส่งผลกระทบเพิ่มเติม และเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เพราะไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็กที่ได้รับการส่งผ่านราคาและแรงกดดันที่มาจากภาวะเงินเฟ้อโลกและราคาน้ำมัน

 

โดยแนวโน้มเงินเฟ้อโลกที่เปลี่ยนไปในระยะยาวและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลให้ภาระหนี้ของภาคครัวเรือนไทยปรับตัวสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงกับเศรษฐกิจในประเทศได้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยที่สูงเกินกว่า 90% ของ GDP สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะมีความเปราะบางต่อการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมากด้วย

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising