×

KKP Research ชี้เศรษฐกิจไทยภูมิคุ้มกันต่ำตั้งแต่ก่อนโควิด-19 เตือนผลกระทบอาจลากยาว จี้รัฐยกระดับมาตรการเยียวยา

31.03.2020
  • LOADING...
เศรษฐกิจไทย ก่อนโควิด-19

KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยในบทวิเคราะห์หัวข้อ ‘ภัย COVID-19 สู่ความเสี่ยงวิกฤตรอบใหม่ บทพิสูจน์ภาครัฐไทยในภาวะวิกฤต’ ว่าวิกฤตด้านสาธารณสุขจากโควิด-19 กำลังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ที่แตกต่างจากวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 และนับเป็นครั้งแรกที่แทบทุกประเทศทั่วโลกประสบกับวิกฤตพร้อมกัน ในรูปแบบที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในแทบทุกช่องทางอย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้

 

วันพุธที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมา ถือเป็นจุดสิ้นสุดของตลาดขาขึ้นหรือ ‘Bull Market’ ในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดเป็นประวัติการ คือกินเวลากว่า 11 ปีนับตั้งแต่จุดต่ำสุดในช่วงวิกฤตซับไพร์มเดือนมีนาคม 2009 ตลาดดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาได้เข้าสู่ภาวะขาลงหรือ Bear Market อย่างเป็นทางการ หลังจากที่ปรับตัวลดลงเกิน 20% จากจุดสูงสุด นับเป็นการเข้าสู่ Bear Market ที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ คือใช้เวลาเพียง 21 วันเท่านั้น 

 

ตลาดหุ้นไทยก็ไม่น้อยหน้า SET Index ปรับลดลงลึกสุดถึง 33% ณ วันที่ 20 มีนาคม เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์หายไปกว่า 7 ล้านล้านบาทจากจุดสูดสุดในเดือนสิงหาคม 2018 ซึ่งเทียบเป็นขนาดความเสียหายกว่า 40% ของ GDP เลยทีเดียว

 

นักวิเคราะห์จากหลากหลายสำนักวิจัยชั้นนำของโลก ทำนายว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการในการควบคุมจะทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ ‘ภาวะถดถอย’ ในปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ ภาวะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลงอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องหลายเดือน จนกระทบต่อการค้า การผลิต รายได้ และการจ้างงาน ในทางเทคนิคคือเราจะเห็น GDP หดตัวติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส 

 

เช่นเดียวกันกับเศรษฐกิจไทย ที่ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เป็นหดตัวถึง 5.3% จากเดิมที่คาดว่าจะโต 2.8% ซึ่งจะเป็นการหดตัวที่มากที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งปี 1997-98 เป็นเครื่องยืนยันว่าเศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างแน่แท้แล้ว และมีความเสี่ยงที่จะลงลึกได้มากกว่านี้หากสถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกยังไม่สามารถควบคุมได้ภายในครึ่งปีแรกนี้

 

เศรษฐกิจไทยภูมิคุ้มกันต่ำตั้งแต่ก่อนติดโควิด-19

เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนักจากโควิด-19 และอาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าครั้งก่อนๆ จากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางมากอยู่แล้ว ประกอบกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศและปัจจัยเชิงโครงสร้าง 

 

มาตรการเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจและครัวเรือนของภาครัฐไทยยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับทั้งมาตรการด้านสาธารณสุข และมาตรการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อธุรกิจและประชาชนไปพร้อมๆ กัน ครั้งนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบหนักกว่าวิกฤตในครั้งก่อนๆ จากหลายเหตุผล

 

1) เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการเงินโลกปี 2008 แตกต่างจากวิกฤตครั้งนี้ที่ไทยได้รับผลกระทบโดยตรงในภาคการท่องเที่ยว และจากการแพร่ระบาดในประเทศ เนื่องจากวิกฤตในปี 2008 เริ่มต้นจากปัญหาของภาคธนาคารในสหรัฐฯ และผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงค่อนข้างจำกัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจไทยจึงถูกกระทบในวงแคบเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดเงินตลาดทุน อีกทั้งเงินบาทที่อ่อนค่าจากการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาฟื้นตัวได้เร็วในรูปตัว V (V-shape recovery) ซึ่งนับเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจที่น้อยกว่าสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 หลายเท่าตัว

 

2) เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะชะลอตัวมาตั้งแต่ก่อนโควิด-19 แล้ว จากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความอ่อนแอของเศรษฐกิจภายในประเทศ เศรษฐกิจในช่วง 5 ปีก่อนวิกฤตปี 2008 เติบโตได้เฉลี่ยถึง 5.6% ต่อปี โดยอุปสงค์ภาคเอกชนเป็นกำลังสำคัญต่อการขยายตัวถึงกว่า 80% ขณะที่ในช่วง 5 ปีล่าสุด (2015-19) เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยเพียง 3.4% และอุปสงค์ภาคเอกชนภายในประเทศอ่อนแอลง โดยเป็นแรงส่งในการขยายตัวเศรษฐกิจเพียง 60% เท่านั้น จากปัญหาการชะลออย่างต่อเนื่องของการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคที่ถูกฉุดรั้งด้วยภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 79% ของ GDP ในด้านการผลิต การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากทั้งการลดลงของประชากรวัยแรงงาน และผลิตภาพ (Productivity) ของแรงงานที่ลดลงจากการขาดพัฒนาการทางเทคโนโลยี ความเข้มข้นของการใช้ทุนและเครื่องจักรที่ชะลอลง ตลอดจนการขยับออกของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมมาสู่แรงงานในภาคบริการที่มีผลผลิตโดยเฉลี่ยต่อ

 

ทั้งนี้ ยังส่งผลลบต่อการท่องเที่ยวไทยที่เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล เศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคการต่างประเทศมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง กระทั่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงกว่า 40 ล้านคนต่อปีในปี 2019 ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึงกว่า 2 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัวจากปี 2007 หรือเติบโตเฉลี่ย 10.4% ต่อปี จนกระทั่งปัจจุบันคิดเป็น 12% ของ GDP ในปีล่าสุด การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างกะทันหันย่อมกระทบโดยตรงต่อการเดินทางและภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย และส่งผลให้เศรษฐกิจไทยดำดิ่งลงอย่างฉับพลัน

 

4) ภาคการเกษตรไม่สามารถรองรับผลจากแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจได้เหมือนแต่ก่อน ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาหลายครั้ง ภาคการเกษตรมีความสำคัญในการช่วยรองรับการไหลกลับของแรงงานจากเมืองจากการถูกเลิกจ้าง ด้วยโครงสร้างครอบครัวขยายที่เอื้อให้แรงงานวัยหนุ่มสาวจากชนบทสามารถเข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการได้ โดยยังมีเครือข่ายพี่น้องและญาติผู้ใหญ่รองรับอยู่ในภาคเกษตร อีกทั้งราคาสินค้าเกษตรในอดีตอยู่ในระดับดีเนื่องจากไม่มีการแข่งขันด้านอุปทานจากผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดโลกสูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาคการเกษตรมีขนาดลดลงจากเดิมมาก จนไม่อาจสร้างรายได้ที่จะชดเชยรายได้จากการจ้างงานในเมืองได้ จึงสังเกตได้ว่าในระยะหลังที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว แรงงานมักไหลเข้าสู่ภาคบริการแทนที่ภาคเกษตร วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 ที่ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว อาจทำให้มีการเลิกจ้างงานทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการในจำนวนที่มากเกินกว่าที่ภาคเกษตรจะรองรับการไหลกลับของแรงงานได้ 

 

ส่วนหนึ่งจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับที่ต่ำก่อนเกิดโควิด-19 ในครั้งนี้เราไม่สามารถฝากความหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ในโลก การดำเนินนโยบายการเงินของไทยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 มีขีดจำกัดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับที่ต่ำมากอยู่แล้ว 

 

อีกทั้งการลดดอกเบี้ยก็อาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนักในสถานการณ์ปัจจุบัน  ขณะที่มาตรการทางการคลังที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลังวิกฤตปี 2008 (แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง) เป็นมาตรการเชิงรุกที่ใช้กระบวนการทั้งในและนอกงบประมาณ สะท้อนถึงความเป็นเอกภาพในระดับหนึ่งของรัฐบาล และความแข็งแรงของระบบรัฐสภาในขณะนั้น ต่างจากในปัจจุบันที่การทำงานของภาครัฐถูกมองว่ายังมีความไม่ลงรอยหรือไม่เชื่อมโยงกันในแต่ละกระทรวง ส่งผลให้รูปแบบของมาตรการทางเศรษฐกิจเป็นไปในเชิงบรรเทา ไม่เป็นองค์รวม และไม่เพียงพอกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและประชาชนจากวิกฤตครั้งใหญ่คราวนี้   

 

โลกตื่นตระหนกเกินเหตุ หรือ ไทยแกร่งกว่าทุกประเทศ? 

คำถามที่ทุกคนอยากรู้คำตอบ คือ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สามารถควบคุมได้แล้ว เศรษฐกิจไทย รวมถึงตลาดการเงินจะกลับมาฟื้นตัวเป็น V-shape ได้หรือไม่ คงเป็นการยากที่ใครจะล่วงรู้คำตอบนี้ได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ คือยิ่งการระบาดลุกลามและขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น จะยิ่งทำให้ทางการจำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นในการสกัดกั้นการระบาด และผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะยิ่งหนักหน่วงและลากยาวขึ้น ปัญหาสภาพคล่องจากการขาดกระแสเงินสดชั่วคราว อาจถูกภาวะเศรษฐกิจตกต่ำคุกคามจนกลายเป็นปัญหาความอยู่รอดของธุรกิจได้ ฉะนั้น ประเด็นสำคัญจึงขึ้นอยู่ที่กลไกในการรองรับแรงกระแทกของแต่ประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม

 

ท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนที่อยู่ในระดับสูง หลายประเทศจำเป็นต้องใช้มาตรการปิดเมือง หรือล็อกดาวน์ เพื่อลดการระบาดของโรค เช่นเดียวกับที่รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจดำเนินการในปัจจุบัน 

 

สิ่งที่แตกต่าง
คือ รัฐบาลและธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ไม่รีรอ ต่างพากันจัดยาแรงชนิดที่เรียกว่า ‘ทุ่มหมดหน้าตัก’ เพื่อเยียวยา
ครัวเรือนและผู้ประกอบการที่ได้รับความยากลำบากในสถานการณ์เช่นนี้  

 

รัฐสภาสหรัฐอเมริกาทำงานกันไม่เว้นวันหยุดเพื่อเร่งผลักดันแผนงบประมาณฉุกเฉินวงเงินสูงถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเกือบ 10% ของ GDP สหรัฐฯ นับเป็นงบประมาณฉุกเฉินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือกับธุรกิจและประชาชนชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19  

 

ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉิน 2 ครั้งติดต่อกันจนอยู่ระดับใกล้ศูนย์อีกครั้ง พร้อมประกาศทำ QE เพิ่มเติมอย่างไม่จำกัด และได้ดำเนินโครงการจำนวนมากเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องและเงินให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ และเพื่อดูแลให้ตลาดการเงินทำงานได้อย่างราบรื่น สนับสนุนการส่งผ่านของนโยบายการเงินไปยังเศรษฐกิจในวงกว้าง 

 

อีกหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ตื่นตัว ทยอยออกมาตรการชุดใหญ่เช่นกัน ทั้งด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การดูแลครัวเรือนและการจ้างงาน และด้านการรักษาเสถียรภาพในภาคการเงิน สะท้อนระดับความรุนแรงของผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นภาคเอกชนที่เกิดจากโควิด-19 ในครั้งนี้อยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ

 

รัฐไทยอาจจำเป็นต้องยกระดับความสำคัญของการบรรเทาผลกระทบต่อธุรกิจ และประชาชนที่ได้รับความเสียหายครั้งนี้ให้สูงมากขึ้นไปอีก เพราะตัวเลขงบประมาณที่ใช้ยังออกมาน้อยกว่าประเทศอื่นๆ มาก และต้องเพิ่มมาตรการที่มีมิติของการวางแผนรองรับแบบมองไปข้างหน้าอีกด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้รัฐบาลอาจมองว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มากถึงขั้น ‘วิกฤต’ ตอนนี้ภาครัฐจึงดูยังขาดการผลักดันมาตรการภาครัฐที่มีขนาดใหญ่ และครอบคลุมเพียงพอในการช่วยบรรเทาทุกข์ของธุรกิจ และผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมรสุมครั้งนี้ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่ล้มจากการระบาดของโควิด-19 และจากมาตรการลอกดาวน์ของภาครัฐ 

 

เราได้เห็นแล้วว่า จากวิกฤตด้านสาธารณสุข สามารถสร้างผล
กระทบต่อเนื่องกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ และมีความเสี่ยงที่จะลุกลามไปยังภาคการเงินได้หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอและตรงจุด 

 

ในสถานการณ์ที่ประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชนตกอยู่ภายใต้การคุกคามของทั้งโรคระบาด และความท้าทายทางเศรษฐกิจเช่นนี้ รัฐบาลต้องดำเนินการทั้งมาตรการด้านสาธารณสุข และการรองรับผลกระทบด้านเศรษฐกิจต่อประชาชนไปพร้อมกัน ไม่อาจเลือกทำเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง โดยการวางแผนรับมือกับภาวะวิกฤตต้องผ่านกระบวนการคิดที่ครบถ้วนและรอบด้าน มองไปข้างหน้า การตัดสินใจที่เด็ดขาด ทันท่วงที และมองเห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ด้วยความจริงใจ จึงจะทรงพลังและมีประสิทธิภาพเพียงพอในการแก้ไขปัญหาที่หนักอึ้งในทุกมิติเช่นนี้

 

หากภาครัฐมีการประเมินผลกระทบที่ผิดพลาด ออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาทีละเปลาะและล่าช้าเกินไป ขาดการวางแผนอย่างเป็นระบบ และขาดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ท้ายที่สุดอาจจะนำไปสู่ ‘วิกฤตศรัทธา’ (Crisis of confidence) เมื่อประชาชนขาดความเชื่อมั่นกับกระบวนการ ความสามารถ และความจริงใจของภาครัฐแล้ว การขอความร่วมมือจากภาคประชาชนทั้งการควบคุมด้านสาธารณสุข และการเรียกความมั่นใจด้านเศรษฐกิจกลับคืนมา จะเป็นกลายเป็นความท้าทายอีกด้านหนึ่งของภาครัฐ ถึงเวลานั้นประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤตที่แท้จริงที่สายเกินกว่าจะแก้ไขได้

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising