พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บล.เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยการฉีดวัคซีนที่เริ่มต้นช้าและปริมาณวัคซีนที่จัดหาได้มีน้อยกว่าที่คาด ทำให้สัดส่วนของประชากรที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสในปัจจุบันมีเพียง 5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ามาก ดังนั้นภายในสิ้นปีคาดว่าจะมีประชากรเพียงประมาณ 35% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดส ทำให้การแพร่ระบาดและมาตรการล็อกดาวน์อาจจะมีต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
ในกรณีฐาน ได้ปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2564 เหลือ 0.5% ส่วนในกรณีที่การระบาดรุนแรงกว่า การล็อกดาวน์อาจยาวนานและรุนแรงกว่าที่คาด หรือต้องมีการปรับความเข้มข้นของมาตรการล็อกดาวน์จนกระทบต่อภาคการผลิต และการส่งออกที่เป็นความหวังสำคัญ เศรษฐกิจอาจหดตัวได้ถึง 0.8% ทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งได้
การหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่รุนแรงและยาวนานกว่าการระบาด 2 ครั้งแรกจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิต การจ้างงาน กระแสเงินสด ฐานะทางการเงิน และความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ดังนั้นรัฐบาลควรต้อง
- มีการวางแผนการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่รอบคอบ สอดคล้องกับสถานการณ์และระดับศักยภาพของระบบสาธารณสุข และสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส
- การเพิ่มศักยภาพในการตรวจ สอบสวนโรค และรักษา และเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิผลเพื่อเพิ่มสัดส่วนของประชากรที่มีภูมิคุ้มกัน
- ออกมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือที่เพียงพอและเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อลดผลกระทบและป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นถาวรทางเศรษฐกิจ
- เตรียมการเพื่อกระตุ้นและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังโควิด
- รักษาความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของระบบการเงิน
ทั้งนี้แม้ปัจจุบันระดับหนี้สาธารณะต่อรายได้ของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใกล้เพดานวินัยทางคลังที่ 60% และคาดว่าจะเกินระดับดังกล่าวในปี 2565 แต่ด้วยระดับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รัฐบาลยังมีศักยภาพในการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นได้หากมีความจำเป็น อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องมีแผนในการปรับลดการขาดดุลในอนาคตเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและความเชื่อมั่น และต้องมีการจัดลำดับของการใช้จ่ายในปัจจุบันให้สอดคล้องกับความจำเป็นของสถานการณ์