กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ( KKP ) ปรับเป้าสินเชื่อปีนี้เป็นเติบโต 16% หลังครึ่งปีแรกขยายตัวได้แล้ว 10% เตรียมเปิดตัว KKP Dime เจาะฐานลูกค้ารายย่อยผ่านช่องทางดิจิทัล เตือนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ ‘จักรวาลคู่ขนาน’ สถานการณ์เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และโลกาภิวัตน์เปลี่ยนโฉมสิ้นเชิง
อภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทรครึ่งปีแรก 2565 อยู่ในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยสินเชื่อรวมขยายตัวถึง 10% ด้านธุรกิจตลาดทุน รายได้กระจายตัวตามลักษณะธุรกิจ โดยธุรกิจนายหน้ายังคงครองส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของตลาดที่ 18.18% และธุรกิจการลงทุนเติบโตดีจากฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ทำกำไรได้ดีในสภาวะผันผันผวน
ด้านวานิชธนกิจมีจำนวนธุรกรรมลดลงในช่วงต้นปี แต่ยังคงมีธุรกรรมขนาดใหญ่หลายรายการในช่วงครึ่งหลังของปี ในขณะที่ธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคลมีปริมาณทรัพย์สินภายใต้คำแนะนำอยู่ที่กว่า 7 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารได้ปรับลดการตั้งสำรองสอดรับกับคุณภาพที่ดีของพอร์ตสินเชื่อใหม่ และอัตราการชำระคืนของลูกหนี้ดีกว่าที่คาดการณ์ โดยตั้งสำรองเป็นจำนวน 1,878 ล้านบาท ลดลงกว่าปีก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป กลุ่มธุรกิจฯ ยังคงต่อยอดการประสานธุรกิจธนาคารพาณิชย์และตลาดทุน ตลอดจนกระจายแหล่งรายได้รองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อาจทวีความผันผวนในอนาคต โดยกลุ่มธุรกิจฯ มุ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากพัฒนาการทางเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ที่ลดข้อจำกัดด้านขนาดหรือเครือข่ายและทำให้ธนาคารแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม ได้แก่ ธุรกิจ KKP Edge ที่นำเสนอบริการ Wealth Management ในแบบที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น หรือธุรกิจ Dime ที่กำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบดิจิทัลในเร็วๆ นี้ พร้อมกันนั้น กลุ่มธุรกิจฯ ยังคงไม่ละเลยการลงทุนในด้านระบบสำหรับธุรกิจหลักอย่างสินเชื่อ ที่กลุ่มธุรกิจฯ เชื่อว่ายังมีศักยภาพสำหรับการเติบโตและเป็นองค์ประกอบสำคัญในธุรกิจ โดยสำหรับทั้งปีนี้ กลุ่มธุรกิจฯ มีเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมที่ 16%
“ในเร็วๆ นี้เราจะเปิดตัวบริการ KKP Dime ซึ่งเป็นการใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อเข้าถึงลูกค้ารายย่อยกลุ่มใหม่ๆ โดยบริการในระยะแรกของ Dime อาจเริ่มต้นจากบริการด้านการลงทุนก่อน เช่น การลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ด้วยเงิน 100 บาท บริการเงินฝาก และในระยะต่อไปจะขยายไปยังประกันและสินเชื่อ บริการทั้งหมดจะเป็นดิจิทัล ไม่มีคนให้บริการ รูปแบบธุรกิจจะคล้ายกับบริษัทสตาร์ทอัพ และในอนาคตเราก็มีแผนจะยกระดับไปเป็น Virtual Bank เมื่อมีการเปิดให้ใบอนุญาต” อภินันท์กล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจฯ มองว่าสถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในภาพรวมยังน่ากังวลจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ผนวกกับภาวะปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง จึงได้เตรียมพร้อมสำหรับช่วยเหลือลูกค้าที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ทั้งนี้ โดยมุ่งให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยั่งยืนมากกว่ามาตรการเฉพาะหน้า
“ก่อนเกิดสงคราม จำนวนลูกค้าที่ขอรับความช่วยเหลือปรับตัวดีขึ้นเรื่อยๆ แต่พอมีสงครามการฟื้นตัวก็ชะลอไปชัดเจน สินเชื่อธุรกิจก็มีกลุ่มโรงแรมที่ยังต้องเข้าไปดูแล ส่วนกลุ่มอสังหายังมีการซื้อขาย และผู้ประกอบการก็ปรับตัวด้วยการไม่ขึ้นโครงการใหม่ ส่วนลูกค้ารายย่อยเรายังเห็นอำนาจซื้ออยู่ ในไตรมาส 3 นี้ ใบสมัครสินเชื่อรถและบ้านยังเข้ามาต่อเนื่อง NPL อาจปรับเพิ่มจาก 3% ในช่วงครึ่งปีแรกเป็น 3.1% ในช่วงสิ้นปี แต่ในภาพรวมยังไม่มีอะไรที่น่ากังวล” อภินันท์กล่าว
ฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ให้รายละเอียดในส่วนของธนาคารพาณิชย์ว่า สำหรับระยะที่ผ่านมา นโยบายการเติบโตสินเชื่อแบบมีกลยุทธ์ (Smart Growth) นั้นให้ผลที่ดี โดยช่วยให้ธนาคารสามารถรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรแม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว และในขณะเดียวกัน มาตรการคัดกรองและบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพยังรักษาคุณภาพของสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยสินเชื่อของธนาคารครึ่งปีแรก 2565 มีรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยถึง 69% โดยหลักมาจากกลุ่มสินเชื่อรายย่อยที่มีหลักประกัน ไม่ว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่โตขึ้นกว่า 11% หรือสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่โตขึ้น 19%
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในระยะต่อไป ธนาคารยังคงต่อยอดจากธุรกิจที่มีความชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบและกระบวนการภายในเพื่อการพิจารณาสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นผ่านแอปพลิเคชัน KKP Mobile การเดินหน้าผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสินเชื่อ ‘รถเรียกเงิน’ รวมทั้งการขยายเครือข่ายการให้บริการผ่านการสร้างความร่วมมือกับคู่ค้าที่มีความแข็งแกร่ง
นอกจากนั้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรเทาปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ธนาคารยังมุ่งเสริมสร้างความแข็งแรงทางการเงินให้กับลูกค้า ผ่านการเชื่อมโยงบริการธนาคารเข้ากับบริการด้านการลงทุน ที่เป็นความชำนาญของกลุ่มธุรกิจฯ มากขึ้นเรื่อยๆ
ด้าน ปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลทางการเงินของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2565 ว่า กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,089 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.1% โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 672 ล้านบาท ในส่วนของการตั้งสำรองสำหรับครึ่งแรกของปี 2565 ปรับลดลงตามคุณภาพของสินเชื่อที่ยังคงอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดี โดยมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 169.1%
นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ รวมถึงรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 8,779 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 15.1% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 3,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากครึ่งปีแรก 2564 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/65 อยู่ที่ 16.56% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับ 12.99%
ขณะที่ พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP Research บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า สถานการณ์แวดล้อมด้านเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาเปลี่ยนไปอย่างมาก จนอาจเปรียบเทียบได้กับการเข้าไปในอีกจักรวาลคู่ขนาน ไม่ว่าจะเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ที่กำลังเปลี่ยนไป ความขัดแย้งด้านการเมืองระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น จนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลก การเปลี่ยนผ่านจากภาวะเงินเฟ้อต่ำสู่ภาวะเงินเฟ้อสูง และภาวะดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งนับเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจโลกและไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับปีนี้ KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตได้ 3.3% จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การขยายตัวของการส่งออกที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก การท่องเที่ยวที่กลับมามากกว่าที่คาด และรายได้ภาคเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีความน่ากังวลหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงอย่างชัดเจน และหลายภาคเศรษฐกิจยังไม่กลับไประดับก่อนเกิดปัญหาโควิด นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังเจอความเสี่ยงจากแรงกดดันเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่รายได้และเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับตัวเป็นขาขึ้นตามแรงกดดันเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก และความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกอาจจะเข้าสู่ภาวะชะลอตัวหรือถดถอยในระยะเวลาข้างหน้า จนกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
“ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้ภาวะดอกเบี้ยต่ำแบบนี้กำลังจะหมดไป แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางและไม่ทั่วถึง หลายภาคส่วนยังไม่กลับไปจุดเดิมก่อนวิกฤตโควิด และภาคครัวเรือนและธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบและมีปัญหาในการจ่ายคืนหนี้ คำถามสำคัญคือเราจะวางแผนกันอย่างไรในโลกใบใหม่นี้” พิพัฒน์กล่าว
นอกจากปัจจัยระยะสั้นแล้ว เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างหลายประการ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าลงและมีความเสี่ยงที่จะมีความสามารถในการแข่งขันลดลง ในขณะที่ปัจจัยแวดล้อม เช่น การพัฒนาด้านเทคโนโลยี กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทางออกสำคัญของเศรษฐกิจไทยในโลกยุคใหม่ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งรวมไปถึงการสนับสนุนการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ, การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา, การยกระดับคุณภาพการศึกษาและทักษะแรงงาน, การเปิดเสรีแรงงานและบริการ, การลดการผูกขาด ตลอดจนการเพิ่มคุณภาพสถาบันเศรษฐกิจและการเมือง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส