×

KKP มอง แจกเงินหนุนเศรษฐกิจแค่ระยะสั้น เพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 67 เป็น 2.8% ห่วงศักยภาพระยะยาวไทยโตต่ำกว่า 2.5% หากไม่ปฏิรูปโครงสร้าง

16.10.2024
  • LOADING...
KKP

KKP ปรับคาดการณ์ GDP ปี 2567 เป็น 2.8% และปี 2568 เป็น 3% เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวจากนโยบายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง และการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัวในบางกลุ่ม คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ โดยยังคงมุมมองระยะยาวว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ต่ำกว่า 2.5% หากยังขาดนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

 

วันนี้ (16 ตุลาคม) KKP Research ปรับประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปี 2567 จาก 2.6% เป็น 2.8% และปี 2568 จาก 2.8% เป็น 3% เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้นจาก 2 ปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่

 

  1. การแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางของภาครัฐในช่วงไตรมาส 4/67 และงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมที่ตั้งรอไว้สำหรับปี 2568
  2. การปรับตัวดีขึ้นของการส่งออกบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการฟื้นตัวตามวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลก

 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชน ภาคการผลิตบางกลุ่ม และการบริโภคสินค้าคงทน ยังคงเป็นปัจจัยฉุดเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา

 

“การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเป็นการปรับตัวดีขึ้นในระยะสั้นเท่านั้นจากแรงกดดันเชิงโครงสร้างในระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงอายุ ปัญหาความสามารถในการแข่งขันระยะยาวในภาคการผลิต และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยประเมินว่าการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตได้ต่ำกว่า 2.5% หากไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ชัดเจน” KKP กล่าว

 

การส่งออกปรับตัวดีกว่าคาด แต่ผลต่อเศรษฐกิจอาจไม่มาก

 

KKP Research ปรับประมาณการการส่งออก (ที่แท้จริง) ในปี 2567 จาก 1.3% เป็น 2.3% จากการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้ โดยการขยายตัวของการส่งออกปรับตัวดีขึ้นในหลายกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ผลทางบวกต่อเศรษฐกิจจากการปรับตัวดีขึ้นของการส่งออกอาจมีไม่มากเท่ากับในอดีตจากหลายสาเหตุ ได้แก่

 

  1. การส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้นในบางสินค้ามีแนวโน้มเกิดจากการ Rerouting หรือการเปลี่ยนเส้นทางการค้าจากจีนไปสหรัฐอเมริกาโดยตรง เป็นการส่งสินค้าจากจีนผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันทางภาษี ซึ่งอาจมีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศค่อนข้างน้อย
  2. การส่งออกที่เป็นตัวเงินปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่การส่งออกที่แท้จริงอาจปรับตัวสูงขึ้นน้อยกว่า
  3. การผลิตสินค้าบางกลุ่มยังไม่ปรับตัวดีขึ้นตามการส่งออก เนื่องจากสินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง เช่น กลุ่ม ICs และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น จากมูลค่าเพิ่มในประเทศที่มีแนวโน้มลดลง KKP Research ประเมินว่าการเพิ่มขึ้นของการส่งออก 1% จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจลดลงจากประมาณ 0.3% เหลือประมาณ 0.1-0.2% เท่านั้น

 

แจกเงินในรอบแรกส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจประมาณ 0.2-0.3%

 

เศรษฐกิจไทยน่าจะได้รับผลบวกระยะสั้นจากนโยบายแจกเงินของรัฐบาลในไตรมาส 4/67 โดยมีการแจกเงินจำนวน 1.42 แสนล้านบาทให้กับกลุ่มเปราะบาง หรือคิดเป็นประมาณ 0.7% ของ GDP

 

KKP Research ประเมินว่าผลต่อเศรษฐกิจในภาพรวมจะมีค่า Multiplier ที่ประมาณ 0.3 โดยประเมินว่าการแจกเงินในรอบแรกส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจประมาณ 0.2-0.3% และมีแนวโน้มส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/67 เติบโตได้เกิน 4%

 

อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2567/6825 ยังมีการอนุมัติงบประมาณอีก 1.5-1.8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 0.8-0.9% ของ GDP ซึ่ง KKP Research ประเมินว่าการแจกเงินก้อนที่ 2 จะมีการใช้งานได้ในช่วงไตรมาส 2/68-3/68 และน่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยโตขึ้นได้ประมาณ 3% ในปี 2568

 

นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลประกาศนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และแนวโน้มสถานการณ์การเมืองไทยที่มั่นคงขึ้นในระยะสั้น KKP Research ประเมินว่านโยบายที่สำคัญ ได้แก่

 

  1. การปรับโครงสร้างหนี้
  2. การส่งเสริมและปกป้องผู้ประกอบการรายเล็กถึงกลางจากการแข่งขันจากต่างประเทศ
  3. การให้ความช่วยเหลือด้านราคาพลังงานและสาธารณูปโภค
  4. การดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่เศรษฐกิจในระบบ
  5. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม KKP Research ยังมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายของภาครัฐจากหลายนโยบายที่ยังไม่มีแผนการดำเนินการที่ชัดเจน และข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะของภาครัฐ โดยในสถานการณ์ปัจจุบันหนี้สาธารณะต่อ GDP ของภาครัฐกำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นเข้าสู่ระดับ 70% ของ GDP ในขณะที่รายได้ภาษีต่อ GDP มีแนวโน้มลดลง

 

ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงฉุดให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ

 

KKP Research ยังคงมุมมองระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย โดยประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มโตได้ต่ำกว่า 2.5% หากไทยยังขาดนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน โดยประเมินว่าในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่

 

  1. โครงสร้างประชากร โครงสร้างประชากรไทยในปัจจุบันกำลังเป็นปัจจัยลบต่อศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะยาว จากจำนวนคนวัยทำงานที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2558
  2. ความสามารถในการแข่งขัน ภาคการผลิตไทยเผชิญกับปัญหาความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรม ทั้งยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, ปิโตรเคมี โดยการผลิตมีทิศทางที่หดตัวลงต่อเนื่อง จากทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นจากสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ
  3. ภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชนไทยหดตัวลงรุนแรงถึง 5.7% ในไตรมาส 2/67 สูงกว่าที่คาดไว้ โดยการหดตัวเกิดขึ้นหลังจากภาคการผลิตไทยหดตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน ในขณะที่การลงทุนในกลุ่มการก่อสร้างหดตัวลงเช่นกันตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนแอ
  4. สถานะทางการเงินของครัวเรือนที่อ่อนแอ โดยหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า 80% ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มฉุดศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบกับหนี้เสียในภาคธนาคารเริ่มปรับตัวสูงขึ้นชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีแนวโน้มหดตัวลง

 

ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงอ่อนแอ บาทแข็งค่าระยะสั้น

 

ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วและเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นเร็วมากที่สุดในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม KKP Research ประเมินว่าการแข็งค่าของเงินบาทยังมีแนวโน้มจากปัจจัยระยะสั้น ซึ่งเกิดจากการอ่อนค่าลงเร็วของเงินดอลลาร์สหรัฐจากการคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ, บรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองที่มีทิศทางชัดเจนขึ้น และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ

 

อย่างไรก็ตาม ในระยะต่อไป KKP Research ประเมินว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาวไม่สอดคล้องกับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น และยังคาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังมีแนวโน้มต่ำกว่าในช่วงที่ผ่านมา แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับไปใกล้เคียงกับระดับก่อนโรคโควิดแล้วก็ตาม โดยการเกินดุลในระยะต่อไปจะอยู่ในระดับประมาณ 1-3% ของ GDP เมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโรคโควิดที่ระดับ 7-8% ของ GDP ซึ่งเป็นผลมาจากหลายองค์ประกอบ ทั้งดุลการค้าที่เกินดุลน้อยลงตามราคาน้ำมันและความสามารถในการแข่งขัน, รายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลง และค่าขนส่งที่ยังสูงกว่าช่วงก่อนโรคโควิด

 

ดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง

 

แม้ว่า KKP Research จะปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 และ 2568 ขึ้น แต่ยังคงประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้งในปีนี้ และจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีก 2 ครั้งในไตรมาส 1/68 และ 2/68 สู่ระดับ 1.75% จากระดับอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแล้วเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ, การเติบโตทางเศรษฐกิจ, ระดับอัตราดอกเบี้ยในอดีต และระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศพัฒนาแล้ว ในขณะที่หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงเริ่มมีสัญญาณปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X