เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เราจะเจอวิวทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนในสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีภูมิประเทศงดงามติดอันดับต้นๆ ของโลก ไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของสวิสก็มีทะเลสาบนับร้อยให้นั่งชื่นชมเอกเขนก
ทะเลสาบเจนีวา (Lake Geneva) เป็นหนึ่งในจำนวนดังกล่าว ทะเลสาบน้ำจืดมีชื่อที่กินพื้นที่คาบเกี่ยว 2 ประเทศคือฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลและอยู่ใกล้กับเทือกเขาแอลป์ (Alps) ทำให้เมืองต่างๆ รอบทะเลสาบเจนีวากลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของคนทั้งสองประเทศ
ในสวิส ขอบเขตของทะเลสาบกินพื้นที่หลายเมือง ตั้งแต่มองเทรอซ์ (Montreux) ผ่านเวอแว (Vevey) โลซานน์ (Lausanne เมืองซึ่งพระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดชเคยประทับในวัยเยาว์) ไปจบที่เมืองเจนีวา (Geneva) ซึ่งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ
ก่อนจะไปตามรอยแวะเยี่ยมสถานที่ประทับในรัชกาลที่ 9 ที่เมืองโลซานน์ในสัปดาห์หน้า บทความนี้ผู้เขียนจะพาคุณพักเบรกลงจากรถไฟ แล้วไปเที่ยวยังสองเมืองเล็ก ‘มอนเทรอซ์’ และ ‘เวอแว’ ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ประทับไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี
โขดหินจมูก
‘มองเทรอซ์’ เป็นเมืองเล็กๆ ริมน้ำทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบเจนีวา ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับสายรถไฟทางตะวันออกของประเทศ เราเดินทางสู่มองเทรอซ์ด้วยรถไฟสาย Golden Pass รถไฟชมทิวทัศน์แบบพาโนรามา จากเมืองอินเทอร์ลาเกน (Interlaken) ที่ให้บริการที่นั่งชั้นหนึ่ง ไวน์ท้องถิ่นรสเยี่ยม และวิวตระการตาตลอดระยะทางกว่า 3 ชั่วโมง
นักเดินทางทุกคนจะได้รับ Montreux Riviera Card สำหรับใช้โดยสารขนส่งสาธารณะในเมืองฟรีตั้งแต่วันที่เข้าพักจนถึงวันเช็กเอาต์ เก็บเอาไว้ใช้ในกรณีที่คุณไม่ได้ซื้อ ‘สวิสพาส’ (Swiss Pass) ตั๋วเดินทางแบบเหมาจ่ายซึ่งใช้ได้ทั้งรถบัส เรือ และรถไฟทั่วประเทศสวิตเซอร์แลนด์
หลังจัดการกับสัมภาระเรียบร้อย สถานที่แรกที่ปักหมุดชมคือ Château de Chillon ปราสาทเก่าแก่ของตระกูลซาวอย (House of Savoy) สร้างขึ้นเพื่อเป็นด่านเก็บค่าผ่านทางระหว่างเทือกเขาแอลป์ การเดินทางมาเยี่ยมชมสามารถมาได้ทั้งทางรถและทางเรือ ทางรถนั่งรถประจำทางสาย 201 Villenueve มาลงที่หน้าปราสาท หรือทางน้ำขึ้นได้บริเวณท่า Place du Marché ลานกลางเมืองติดริมน้ำในตัวเมืองมองเทรอซ์
Château de Chillon ตั้งสงบอยู่ริมน้ำมานานกว่า 800 ปี เป็นหนึ่งในสมบัติจากยุคกลางที่สมบูรณ์ที่สุด ด้านหน้าปราสาทติดถนนเป็นป้อมปราการใหญ่โตโอ่อ่า มีหอคอย 3 ยอด เชื่อกันว่าเป็นที่พักของท่านเคานต์แห่งซาวอย ถ้าอยากเดินให้ครบควรมีเวลาอย่างต่ำครึ่งวัน
ไกด์อิเล็กทรอนิกส์ (Audio Guide) แนะนำให้เราเดินชมปราสาทด้วยการไล่เรียงหมายเลข เริ่มจากหมายเลข 1 ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงโมเดลจำลองปราสาท ก่อนต่อไปยังชั้นล่างสุด คุกเก่าจองจำนักโทษ จนไปถึงหมายเลข 46 ซึ่งเป็นหมายเลขสุดท้าย ผ่านห้องรับประทานอาหาร ห้องทำเฟอร์นิเจอร์ประจำปราสาท ห้องนอน ห้องประชุม ยันโบสถ์ขนาดเล็กบนชั้นสูง โดยทุกห้องจะมีนิทรรศการขนาดย่อมที่บรรยายเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนั้นๆ บางห้องก็มีของโบราณจัดแสดงให้ชมจริงๆ บางห้องก็เป็นของใหม่ที่สร้างจำลองของเก่ามาช่วยสร้างบรรยากาศ
นอกจากเป็นสถานที่สำคัญจากยุคกลาง Château de Chillon ยังเป็นสถานที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินคนดังหลายท่าน เช่น ลอร์ด ไบรอน (Lord Byron) กวีและนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของ ฟรังซัวส์ โบนิวาร์ด (François Bonivard) พระสงฆ์และนักประวัติศาสตร์ชาวเจนีวา ผู้ถูกคุมขังอยู่บริเวณเสาต้นที่ 3 ของคุกมาแต่งกวีเรื่อง The Prisoner of Chillon เป็นอาทิ
บริเวณรอบปราสาทยังเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ มีต้นไม้ใหญ่และสัตว์น้ำนานาชนิด ในวันหยุดสุดสัปดาห์จึงคราคร่ำไปด้วยผู้คน บ้างก็หอบอุปกรณ์มาตกปลา บ้างก็หาร่มไม้ใหญ่ปูเสื่อปิกนิก ฯลฯ
ในหนังสือ ‘เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์’ ซึ่งพระราชนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในรัชกาลที่ 9 มีความตอนหนึ่งกล่าวว่า
“ระหว่างที่อยู่ที่ Les Pléiades พระองค์เล็กได้วาดรูปภูเขาที่เห็นได้ชัดจากที่นั่นส่งไปให้แม่ทางไปรษณีย์ ภูเขาลูกนั้นชื่อ Rochers de Naye ซึ่งแปลว่า ‘โขดหินเนย์’ เนย์ไม่มีความหมาย เป็นเพียงชื่อ แต่พระองค์เล็กบรรยายภาพว่า Rochers de Nes ซึ่งออกเสียงเหมือนกัน แต่แปลว่า ‘โขดหินจมูก’ ”
ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อนานมาแล้ว และไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้มาเยือนภูเขา ‘โขดหินจมูก’ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเคยวาดภาพฝีพระหัตถ์ถวายแด่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในรัชกาลที่ 9
Rochers de Naye เป็นหนึ่งยอดเขาสูงในเทือกเขาแอลป์อันอยู่ในความดูแลของเมืองมองเทรอซ์ การขึ้นไปต้องนั่งรถไฟแบบฟันเฟืองไต่ระดับจนถึงความสูง 1,982 เมตร ด้วยความซึ่งวันที่เราไปเป็นวันหยุด จำนวนคนในโบกี้จึงหนาแน่นเป็นพิเศษ เห็นหลายคนจัดเตรียมอุปกรณ์ปิกนิกมาครบครัน บางกลุ่มแก๊งก็ขนจักรยานเสือภูเขามาปั่นกันด้วย จากตีนเขาสู่ยอดใช้เวลาเพียง 55 นาทีก็ถึงที่หมาย
แม้อากาศบนพื้นราบในช่วงเดือนพฤษภาคมจะร้อนราว 25-28 องศาเซลเซียส แต่ยอดเขา Rochers de Naye ยังคงปกคลุมด้วยหิมะเช่นเดียวกับหลายๆ ยอดเขาในสวิตเซอร์แลนด์ ด้านบนเป็นลานโล่งกว้าง มองเห็นทะเลสาบเจนีวาไกลพอๆ กับยอดเขา Jura มีเทือกเขาซาวอย เมือง Dents du Midi และภูมิภาค Trient อยู่ด้านซ้าย ตามจุดต่างๆ มีเก้าอี้และเดย์เบดไว้ให้นั่งผึ่งแดดรับไออุ่นของฤดูใบไม้ผลิได้อย่างเต็มที่ ฉันนั่งอาบแดดนอนชมวิวอยู่พักใหญ่ เมื่อเสียงท้องเริ่มประท้วงจึงตัดสินใจฝากท้องไว้ยังร้านอาหารด้านในตัวอาคาร ซึ่งมีให้เลือกสองบรรยากาศ ได้แก่ คาเฟ่แบบง่ายๆ บนชั้น 2 และร้านอาหารหรูเสิร์ฟเป็นคอร์สครบสูตร ใครเลือกอย่างหลังต้องเดินลอดอุโมงค์ถ้ำเพื่อไปยังอีกฟากของตัวอาคาร ทว่าวิวสวยไปอีกแบบ
นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยือน Rochers de Naye ส่วนใหญ่มีแต่ชนชาติสวิส น้อยมากที่จะเห็นคนต่างถิ่นเช่นเรา และอาจด้วยเหตุนี้กระมัง ที่พักหนึ่งเดียวบนยอดเขาจึงไม่ใช่โรงแรมระดับมากดาว แต่เป็นเต็นท์แคมป์ประดับประตูลวดลายแบบมองโกล สามารถออกมานั่งก่อกองไฟใต้ดาวนับล้านในฤดูร้อน
เมืองแห่งแจ๊ซ
มองเทรอซ์ได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองแห่งแจ๊ซ เพราะมีเทศกาลแจ๊ซจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และมีบุคคลมีชื่อเสียงทางวงการดนตรีแวะเวียนมาเยือนไม่ขาดสาย และยิ่งหากคุณไปเดินเล่นริมทะเลสาบก็จะเจอสัญลักษณ์ของดนตรีแจ๊ซเต็มไปหมด
ในช่วงเย็นวันหยุด ชาวเมืองมองเทรอซ์ชอบออกไปนั่งเอ้อระเหย ณ บริเวณ Place du Marché ลานกลางเมืองริมน้ำ แหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร และสถานหย่อนใจ สถานที่ตั้งอนุสาวรีย์เฟรดดี เมอร์คิวรี (Freddie Mercury) นักร้องนำวง Queen วงร็อกในตำนานที่หลงใหลบรรยากาศของมองเทรอซ์จนตัดสินใจทำเพลงหลายอัลบั้มกันที่นี่ ในแต่ละวันจึงมีแฟนเพลงหอบดอกไม้มาไว้อาลัยเต็มไปหมด
ตลอดเส้นทางริมน้ำหลายกิโลเมตร คุณจะเจอทั้งผู้ใหญ่สูงอายุนั่งตกปลาริมน้ำรอบๆ ทะเลสาบ ลูกเด็กเล็กแดงจับกลุ่มวิ่งเล่นให้เวียนหัว เหล่าวัยรุ่นนั่งพูดคุยตามคาเฟ่ หรือไม่ก็เลือกจับกลุ่มเปิดเพลงชิลล์อยู่ริมน้ำระหว่างทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ บรรยากาศโดยรวมครึกครื้น แต่ก็ชิลล์มาก ยิ่งช่วงยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังอัสดง การซื้อเครื่องดื่มแก้วโปรดมานั่งละเลียดชมบรรยากาศ ดูพระอาทิตย์ตกน้ำ ก็เป็นกิจกรรมง่ายๆ ปิดท้ายวันที่ดีเช่นกัน
เที่ยวไร่องุ่น แวะบ้านชาร์ลี แชปลิน ที่ Vevey
เวอแว เป็นเมืองเล็กที่อยู่ระหว่างมองเทรอซ์กับโลซานน์ รู้จักกันดีในชื่อเมืองของ ‘ชาร์ลี แชปลิน’ (Charlie Chaplin) เนื่องจากนักแสดงตลกชื่อดังเลือกใช้วาระสุดท้ายของชีวิตกว่า 25 ปีที่เมืองนี้ ปัจจุบันอาณาเขตบ้านเก่าของแชปลินถูกแปรเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์นาม Chaplin’s World โดยบ้านหลังเก่าจัดแสดงและจำลองวิถีชีวิตจริงของครอบครัวแชปลิน ส่วนหลังใหม่ก็สร้างเพิ่มเติมเพื่ออรรถรสในการเรียนรู้อัตชีวประวัติและผลงานของแชปลิน
ฉันเป็นคนไม่นิยมเที่ยวพิพิธภัณฑ์ประดิษฐ์ในลักษณะนี้ เนื่องจากรู้สึกเข้าไม่ถึงและน่าเบื่อเกินไป แต่ Chaplin’s World นั้นผิดคาด ตัวนิทรรศการเริ่มต้นที่วิดีโอบอกเล่าอัตชีวประวัติ ก่อนเข้าสู่ส่วนของโรงละคร ซึ่งจำลองฉากต่างๆ อิงกับภาพยนตร์ของแชปลินที่เคยออกฉาย นักท่องเที่ยวสามารถจำลองเหตุการณ์และสนุกได้จริง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังเล็กที่เอียงไปมาได้ตามน้ำหนัก ฉากล้อเลียนทหารนาซี หรือคุกนักโทษซึ่งมุดเข้าออกได้ตามใจฉัน ด้วยการจำลองแบบอินเทอร์แอ็กทีฟนี่แหละ Chaplin’s World จึงมีลักษณะคล้ายส่วนสนุก ไม่น่าเบื่อ และเข้าถึงผู้คนได้ง่าย
จาก Chaplin’s World ไปไม่ไกล เป็นสถานที่ตั้งของ Chexbres Village ณ เมืองลาโวซ์ (Lavaux) ถือว่าเป็นสวรรค์บนดินของคนรักองุ่นและไวน์รสเลิศ เนินเขาริมฝั่งทะเลสาบเจนีวาครอบคลุมพื้นที่จากเมืองเวอแวไปจนถึงเมืองโลซานน์ เรียงรายด้วยไร่องุ่นยาวเชื่อมต่อกันเป็นระยะทาง 30 กิโลเมตร ถือเป็นแหล่งทำไร่องุ่นและผลิตไวน์ที่โด่งดังจนได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก
การเที่ยวชม ถ้าไม่อยากเดินจนเมื่อยแบบไม่รู้ทิศทาง แนะนำให้ซื้อบริการทัวร์รถราง ณ บริเวณสถานีรถไฟ Chexbres Village โดยเริ่มจากตัวเมืองเก่าลัดเลาะสู่ไร่องุ่นริมทะเลสาบ แวะพักชิมไวน์ดังตามชาโตว์แต่ละหลัง ชี้ชวนให้ดูสถานที่สำคัญต่างๆ ภายในหมู่บ้าน และปิดท้ายทริปด้วยวิวไร่องุ่นตามจุดต่างๆ
ข้อเสียหนึ่งเดียวของการทัวร์คือไกด์ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษากลาง ทำให้ฉันแทบฟังอะไรไม่รู้เรื่อง ทว่าวิวสองข้างทางและรสไวน์ชั้นเลิศก็ทำให้ปลื้มปริ่มตลอดเส้นทาง จากไร่ไวน์มองเห็นทะเลสาบเจนีวาและวิวเมืองทอดไกลถึงมองเทรอซ์และโลซานน์ตามแต่ทิศ ตามตัวเมืองก็มีร้านน่ารักและโบสถ์เก่าแก่ให้เยี่ยมชม ระหว่างทางฉันเห็นคนพื้นถิ่นวิ่งออกกำลังอยู่ตามถนนเล็กเลียบไร่องุ่น บ้างก็พาสุนัขมาวิ่งเล่น พอมองดูแล้วก็อยากทำบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ไหว เพราะเนินเขาช่างลาดชัน
ทริปนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์ แต่เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจแวะเที่ยวสองเมืองเล็กรอบทะเลสาบเจนีวา ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ที่แนะนำเส้นทาง Grand Swiss ให้เรา แม้จะแวะเที่ยว มองดูผู้คน และใช้ชีวิตอยู่ในมองเทรอซ์และเวอแวเพียง 3 วัน จากทั้งหมด 14 วันในทริป แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่แสนประทับใจและอยากจะแวะกลับไปเจาะลึกให้มากกว่านี้
Photo: พลอยจันทร์ สุขคง
Getting There
สายการบิน Swiss Air มีเที่ยวบินตรงสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทุกวัน ตรวจสอบตารางบินได้ที่ www.swissair.com
Where to Stay
Tralala Hotel: www.tralalahotel.ch
Astra Hotel: www.astra-hotel.ch
More Info
- ที่ปราสาท Château de Chillon มี Audio Guide ให้บริการฟรี เพียงแต่ต้องนำพาสสปอร์ตไปแลก โดยจุดแลกอยู่ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว บริเวณเดียวกับร้านขายของที่ระลึก ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก www.chillon.ch
- เที่ยว Chaplin’s World ควรใช้เวลาอย่างต่ำ 2 ชั่วโมง ค่าตั๋วและวิธีเดินทางดูได้ที่ www.chaplinsworld.com
- ภูเขา Rochers de Naye ในฤดูใบไม้ผลิยังต้องเตรียมเสื้อกันหนาว ถ้าจะขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขา เห็นด้านล่างยอดหญ้าเขียว ต้นไม้ผลิดอก แม้ความจะสูงจะต่ำกว่ายอดดอยอินทนนท์บ้านเรา แต่ความหนาวต่างกันลิบลับ เช็กราคาตั๋วรถไฟได้ที่ www.goldenpass.ch