กว่า 140 ปีที่เข็มนาฬิกาของ ‘Seiko’ แบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นไม่เคยหยุดสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลกของเรือนเวลา ตั้งแต่การเป็นแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ทำให้แบรนด์นาฬิกายุโรปต้องถอยทัพในปี 1924 หรือการเกิดขึ้นของยุค Quartz Crisis ในปี 1969 เมื่อ Seiko คิดค้นนาฬิกาควอตซ์ และเป็นเจ้าของ ‘นาฬิการุ่นแรกของโลก’ รวมถึงรุ่นพิเศษอีกหลายคอลเล็กชัน
ปฐมบทของ King Seiko
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ ‘Seiko’ หรือแม้แต่คนที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงนาฬิการวมถึงวงการแฟชั่น ต้องเคยได้ยินชื่อของ ‘King Seiko’ คอลเล็กชันในตำนานที่ขับเคี่ยวความเป็นหนึ่งกับรุ่น ‘Grand Seiko’ ในช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งถือเป็นยุคแห่งความก้าวหน้าสำหรับ Seiko อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งในด้านการพัฒนาเชิงเทคนิคกลไกและความคิดสร้างสรรค์ด้านงานดีไซน์
KSK ผลงานจากปี 1965 การออกแบบที่กำหนดดีไซน์ของ King Seiko
แม้ว่า Grand Seiko จะถูกยกให้เป็นความสำเร็จสูงสุดของ Seiko แต่ King Seiko ที่เปิดตัวตามหลังเพียงหนึ่งปีก็สามารถไต่ขึ้นสู่ตลาดนาฬิการะดับสูงได้เช่นกัน การขับเคี่ยวเพื่อจะก้าวสู่รุ่นเรือธงนั้นเป็นความตั้งใจของ Kintaro Hattori ที่แยกสองโรงงาน Suwa Seikosha ผลิต Grand Seiko และโรงงาน Daini Seikosha ผลิต King Seiko ก็เพื่อให้มีการแข่งขันกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ในองค์กรนั่นเอง
หลังจาก King Seiko ซีรีส์แรกเปิดตัวในปี 1961 อีกเพียง 4 ปีให้หลัง ‘King Seiko KSK’ ซีรีส์สองก็เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก ขับเคลื่อนด้วยระบบไขลาน พร้อมทับทิม 25 เม็ด และการออกแบบที่โดดเด่นด้วยเหลี่ยมมุมของตัวเรือนที่ดูร่วมสมัย ทำให้ King Seiko KSK กลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในเวลานั้น
The Return of the King ถึงเวลาทวงบัลลังก์
วันนี้ King Seiko จะหวนคืนบัลลังก์อีกครั้ง เพื่อสะท้อนถึงคุณภาพคุณภาพอันยั่งยืนของการผลิตนาฬิกาจักรกลระดับสูง และคอลเล็กชันใหม่ภายใต้สีสันและรูปลักษณ์ของหน้าปัดที่แตกต่างกันถึง 5 แบบ ต้อนรับปี 2022
การชุบชีวิต King Seiko ครั้งนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิศวกรรมกลไกผสานกับงานออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด สะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ที่เรียกตัวเองว่าเป็น House of Watchmaking ผลิต ประกอบ และตรวจสอบคุณภาพนาฬิกาทุกขั้นตอนโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ
ตัวเรือนรังสรรค์จากสเตนเลสสตีลสะท้อนความคลาสสิกร่วมสมัย หน้าปัดแบน เรียบเนียน ผนึกด้วยคริสตัลแซพไฟร์ทรงกล่อง เคลือบสารป้องกันแสงสะท้อนที่ผิวด้านใน ช่วยให้การอ่านค่าชัดเจนในทุกองศา ติดตั้งหลักชั่วโมงที่กว้างและขัดแต่งเหลี่ยมมุมให้เป็นประกาย โดยที่หลักชั่วโมงตำแหน่ง 12 นาฬิกามีความกว้างมากกว่าหลักชั่วโมงตำแหน่งอื่นสองเท่า เจียระไนดุจเหลี่ยมเพชร พร้อมชุดเข็มดีไซน์เฉียบคมแสดงเวลาแบบ 3 เข็ม สง่างามเหมือนกับรุ่นต้นตำรับ อีกทั้งความคมชัดของขาตัวเรือนคล้ายปีกเครื่องบินขัดแต่งให้เงางามเหมือนกระจก ข้อต่อตัวเรือนที่มีเหลี่ยมมุมคมชัดและพื้นผิวที่เรียบกว้าง เม็ดมะยมและฝาหลังประทับตราสัญลักษณ์ King Seiko ที่ดีไซน์ขึ้นใหม่ ได้แรงบันดาลใจจาก KSK ปี 1965
มาในรูปทรง Boy Size ขนาด 37.0 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไก ‘In-house’ (อินเฮาส์) ออโตเมติก Cal.6R31 ติดตั้งทับทิมกันสึก 24 ชิ้น อัตราความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง ใช้สายใยจักรกลอก ‘Spron 510’ มีอัตราคลาดเคลื่อนของเวลาอยู่ที่ -15/+25 วินาทีต่อวัน สร้างพลังงานด้วยการขึ้นลานผ่านโรเตอร์แบบหมุน 2 ทิศทาง สำรองพลังงานได้นาน 70 ชั่วโมง และกันน้ำได้ 100 เมตร
ในคอลเล็กชันนี้ประกอบด้วยนาฬิกา 5 เรือน โดยตัวเรือนจะมีรูปลักษณ์เหมือนกัน ต่างกันที่สีหน้าปัด หนึ่งนั้นยังคงมีหน้าปัดโทนสีเงินแบบดั้งเดิมของ KSK ปี 1965 เอาไว้ รุ่นที่เหลือมีหน้าปัดสีเทาอ่อน, สีเทาชาร์โคล สีน้ำตาลและสีแดง โดยหน้าปัดสีเทาอ่อนจะโดดเด่นเป็นพิเศษด้วยลวดลายจากการขัดแต่งแบบแฮร์ไลน์ ในขณะที่อีก 4 รุ่นงดงามด้วยการตกแต่งเล่นแสงสีแบบซันเรย์ สร้างความโดดเด่นด้วยแสงสะท้อนอันงดงาม ส่วนสายนาฬิกายังคงรูปแบบเดิมเพื่อแสดงถึงความเคารพต่อการออกแบบซีรีส์ King Seiko รุ่นดั้งเดิม แต่ก็มีสายหนังแท้ดีไซน์พิเศษ 3 สี ได้แก่ เทา, ดำ, น้ำตาล มาให้เลือก ซึ่งจะวางจำหน่ายเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
คอลเล็กชัน King Seiko ปี 2022 ทั้งหมด 5 เรือน วางจำหน่ายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 เฉพาะที่บูติกของ Seiko สาขาเซ็นทรัล พระราม 9 และ ไซโก บูติกออนไลน์ เท่านั้น ส่วนสายหนังจะจำหน่ายแยกเป็นตัวเลือกพิเศษ