ในช่วงตลาดการซื้อขายผู้เล่นฤดูหนาวที่ถูกคาดหมายว่าจะ ‘เหงา’ ที่สุดในรอบหลายปี จู่ๆ ก็มีความเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครคาดคิดโผล่ขึ้นมา
“เชลซีเป็นตัวเต็งที่จะเดินหน้าเพื่อคว้าตัว ค็อบบี้ ไมนู หากสามารถย้ายทีมได้”
เรื่องนี้ฟังครั้งแรกอาจรู้สึกว่าไม่น่าใช่เรื่อง
แต่จะเชื่อไหมถ้าบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!
ที่มาที่ไปของข่าวการย้ายทีมของไมนูมาจาก Daily Mail สื่อดังของอังกฤษที่รายงานก่อนเพื่อนว่า ค็อบบี้ ไมนู กองกลางดาวรุ่งวัย 19 ปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นเป้าหมายของเชลซีในเวลานี้
เรื่องนี้ฟังดูแล้วแทบไม่น่ามีความเป็นไปได้ เพราะถึงไมนูจะฟอร์มไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นกองกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่งของทีม
ในเกมล่าสุดก็ทำผลงานได้ดี ช่วยให้แมนฯ ยูไนเต็ด ลบคำสบประมาทด้วยการบุกไปเก็บแต้มที่แอนฟิลด์จากจ่าฝูงคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลได้ชนิดที่เกือบจะชนะด้วย หาก แฮร์รี แม็กไกวร์ ไม่พลาดโอกาสโล่งๆ หน้าประตูในช่วงท้ายเกม
ไมนูเป็นหนึ่งในผู้เล่นกำลังหลักสำหรับ รูเบน อโมริม ที่จะต้องสร้างทีมใหม่เพื่ออนาคต
ที่สำคัญที่สุดคือ ไมนูเป็นสายเลือดแท้ของสโมสรที่ก้าวมาจากอะคาเดมี เป็นนักเตะที่แฟนบอลรักและหวงแหน
แต่เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในความเสี่ยงและมีโอกาสจะถูกจับขาย (เฉยเลย) ไม่ว่าจะกับเชลซีหรือทีมไหนก็ตาม
เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่
ก่อนอื่นต้องอธิบายสถานการณ์ล่าสุดของไมนูกับแมนฯ ยูไนเต็ด
- มีสัญญากับสโมสรจนถึงปี 2027
- มีออปชันในการขยายสัญญาออกไปอีก 1 ปี
- รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 20,000 ปอนด์
ตามสัญญาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าตัวเลขค่าตอบแทนของกองกลางดาวโรจน์ที่แจ้งเกิดอย่างสวยงามตั้งแต่ในฤดูกาลที่แล้วไม่ค่อยสอดคล้องกับความสำคัญกับทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด และตัวแทนของไมนู จึงพยายามเจรจาปรับสัญญาฉบับใหม่กัน แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้
ด้วยสัญญาที่จะเหลือระยะเวลาแค่ 2 ปีหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้ (ไม่นับออปชัน) จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวการย้ายทีมที่มาแบบไม่คาดฝันและคล้ายไม่มีที่มาที่ไป
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงอีกด้านถูกรายงานตามมาในสื่อหลายสำนักที่ฟังแล้วจุกแทนแฟนปีศาจแดงคือ สโมสรพร้อมพิจารณาที่จะขายไมนูหรือแม้แต่ อเลฮานโดร การ์นาโช (20 ปี สัญญาถึงปี 2028) ออกจากทีม
ขายด้วยความจำเป็นและจำใจ
สิ่งที่กำลังทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด อาจต้องตัดสินใจทำแบบนี้ เป็นเพราะสโมสรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในเรื่องของกฎข้อบังคับทางการเงิน
- Profit and Sustainability Rules (PSR)
- Financial Fair Play (FFP)
ตัวเลขการขาดทุนฤดูกาลล่าสุด (2023/24) ของสโมสรสูงถึง 113.3 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการขาดทุนเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้ว
ขณะที่ตัวเลขการขาดทุนสะสม 3 ปีในฤดูกาลที่แล้วก่อนหักภาษี (Pre-tax) อยู่ที่ 312.9 ล้านปอนด์
ตามกฎ PSR ของพรีเมียร์ลีกแล้วสโมสรจะได้รับอนุญาตให้ขาดทุนสะสม 3 ฤดูกาลได้ไม่เกิน 105 ล้านปอนด์ แต่เพราะในฤดูกาลที่แล้วการคำนวณตามกฎ PSR นับรวมฤดูกาล 2021/22 ซึ่งยังนับเป็น ‘ปีโควิด’ ที่มีการผ่อนผันอยู่
ถึงแม้แมนฯ ยูไนเต็ด จะมั่นใจเป็นการภายในว่าบัญชีของสโมสรยังอยู่ในแนวทางข้อปฏิบัติทั้ง PSR และ FFP โดยจะไม่ลงโทษตัดแต้มอย่างแน่นอน
และถึงจะให้ความสำคัญกับผู้เล่นอย่างไมนู (และการ์นาโช) มาก เพราะถือเป็นนักเตะแห่งอนาคตที่แม้อายุแค่นี้ก็ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักได้
แต่สถานการณ์ของสโมสรนั้นกำลังบีบให้พวกเขาพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอของนักเตะทุกคนในทีมโดยไม่มีข้อยกเว้น
โดยเฉพาะกับผู้เล่นจากอะคาเดมีที่ได้รับสติกเกอร์ ‘Homegrown’ (HG) นั้นยิ่งพร้อมที่จะรับฟัง เพราะผู้เล่นประเภทนี้ขายได้เท่าไรก็นำมาโปะในบัญชีได้เท่านั้นทันที
สมมติว่าเชลซีขอซื้อไมนูไปในราคา 80 ล้านปอนด์ ตัวเลขนี้จะนำไปลบยอดหนี้สะสมในกฎ PSR ทันที ซึ่งจุดนี้กำลังเป็นประเด็น เพราะมีสโมสรจำนวนมากคิดจะขายนักเตะอะคาเดมีออกไปเพื่อให้รอดจากกฎนี้
แบบนี้ขายเด็กอะคาเดมีออกไป 2-3 คนก็ปลดภาระได้เยอะแล้ว ส่วนหลังจากนี้จะนำเงินไปลงทุนซื้อผู้เล่นมาทดแทนก็สามารถทำได้ และสามารถหาวิธีทางบัญชีเพื่อเล่นตามกฎ PSR เหมือนเชลซีที่ใช้วิธีแฮกกิ้งด้วยการ Amortisation ยืดระยะเวลาการจ่ายชำระให้นานขึ้น
อย่างไรก็ดี ย้ำว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ได้คิดที่จะขายไมนูจริง
และเชลซี (ซึ่งก็เคยเจอสถานการณ์เดียวกันในการขาย คอเนอร์ กัลลาเกอร์ เมื่อช่วงซัมเมอร์) ก็ยังไม่ได้เอาจริงขนาดนั้น
พวกเขาแค่จับตาดูสถานการณ์อยู่
แต่ถ้าพร้อมจะขายก็บอกแล้วกัน
(ส่วนไมนู โอกาสได้เล่นในทีมที่มีลุ้นประสบความสำเร็จและได้ไปแชมเปียนส์ลีกก็ไม่เลวนะ…ว่าไหม)
อ้างอิง: