ยังคงอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีที่ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา หลังผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีข่มขืนและอนาจารหญิงสาวรวม 14 ราย ภายหลัง ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ออกมาโพสต์ข้อความเปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา
THE STANDARD เรียบเรียงไทม์ไลน์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน (วันสงกรานต์) จนถึงวันนี้ (19 เมษายน) ว่ามีจุดเริ่มต้นและเหตุการณ์ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้าง สร้างผลกระทบกับใครมาแล้วบ้าง
ทนายตั้มโพสต์ ‘รองหัวหน้าพรรคดัง’ ก่อเหตุฉาว
ประเด็นเริ่มจาก ษิทรา เบี้ยบังเกิด (ทนายตั้ม) เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า “มีน้องคนหนึ่งมาปรึกษาว่าถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ลวนลาม หอมแก้ม กอดจูบ จับก้นโดยไม่สมยอม เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ เพราะนักการเมืองคนนี้มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง โดยหลอกว่าจะพามาคุยเรื่องงานและสอนน้องเรื่องหุ้น เศรษฐศาสตร์ แต่พอมาจริงกลับคุยแต่เรื่องเพศ และลวนลามต่างๆ นานา ซึ่งคุณแม่ของน้องได้ปรึกษาผมทางไลน์ ผมได้แนะนำให้แจ้งความดำเนินคดีและเก็บหลักฐานไว้พร้อมหมดแล้วครับ
“ค้นประวัติรองหัวหน้าพรรคคนนี้ไม่ธรรมดา เคยก่อเหตุลักษณะนี้กับหญิงไทยอายุ 18 ปี 2 คนที่ประเทศอังกฤษ สุดท้ายเรื่องเงียบเพราะพ่อใหญ่มากในเวลานั้น และทำแบบนี้กับอีกหลายคนในประเทศไทย ผมถือว่าเป็นภัยสังคมมากเลยนะครับ”
จากนั้นผู้คนบนสังคมสื่อโซเชียลเริ่มหันมาให้ความสนใจถึงกรณีดังกล่าว พร้อมสืบค้นประวัติและข้อมมูลต่างๆ ว่า ‘รองหัวหน้าพรรค’ ที่ตกประเด็นนี้คือใคร ท่ามกลางความเชื่อมโยงที่มีจุดหมายคือชื่อของ ‘ปริญญ์ พานิชภักดิ์’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
‘ปริญญ์’ ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ขอลาออกทุกตำแหน่งจาก ปชป. หลังตกเป็นผู้ต้องหา
ขณะที่หลังมีชื่อของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ถูกกล่าวถึงว่าเป็นรองหัวหน้าพรรคคนดังกล่าว ในโลกโซเชียลมีเดียมีการพูดถึงอย่างมาก ทำให้ ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความระบุว่า “ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร แต่ถ้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ขอย้ำในหลักการสำคัญว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้องของบ้านเมือง ผิดว่าไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูกครับ”
ท่ามกลางกระแสของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกขุดประวัติและพูดถึงต่อคดีดังกล่าวมากขึ้น ทำให้ปริญญ์ตัดสินใจออกมาแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยยืนยันความบริสุทธิ์ใจ และปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องจริง หลายคนที่รู้จักตนก็จะรู้ว่าไม่ใช่คนแบบนั้น แม้เป็นเรื่องส่วนตัวแต่กระทบกับพรรค จึงขอรับผิดชอบด้วยการลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพิสูจน์ความจริง
ตำรวจเผยมีหลักฐานกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ ปมนักการเมืองลวนลามหญิงสาว
พล.ต.ต. ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เข้าตรวจสอบสำนวนและติดตามความคืบหน้า กรณีมีนักศึกษาสาววัย 18 ปี แจ้งความกับตำรวจ หลังอ้างว่าถูกรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ลวนลาม กอดจูบ หลังหลอกมาคุยเรื่องงานและสอนหุ้นที่ร้านอาหารบนชั้นดาดฟ้าในซอยสุขุมวิท 11
ต่อมา พล.ต.ต. ไตรรงค์เปิดเผยว่า หลังรับแจ้งความ ตำรวจสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ลุมพินี ก็สืบหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้อย่างรวดเร็ว ยืนยันมีหลักฐานกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุ ซึ่งถือเป็นวัตถุพยานที่เป็นประโยชน์กับสำนวนคดี โดยกรณีนี้ถือเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ซึ่งยอมความไม่ได้ แต่การจะขอศาลอนุมัติออกหมายจับหรือหมายเรียกนั้น ถือเป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งคดีนี้สามารถออกหมายจับได้ เนื่องจากอัตราโทษเกิน 3 ปี แต่หากผู้ก่อเหตุจะมามอบตัวก่อนก็ถือว่าเป็นสิทธิที่จะกระทำได้
แอนนา ภรรยาไฮโซลูกนัท เข้าแจ้งความ ถูกรองหัวหน้าพรรคดังล่วงละเมิดทางเพศ พร้อมถอนตัวจากการลงชิง ส.ก. เพื่อสู้คดีทันที
แอนนา-หทัยรัตน์ ธนากิจอำนวย ภรรยาของ ลูกนัท-ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย นักเคลื่อนไหวทางการเมืองชื่อดัง เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท. พงษ์ศักดิ์ การรัตน์ รอง ผกก. (สอบสวน) สน.ลุมพินี ในวันที่ 15 เมษายน หลังถูกอดีตรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่แห่งหนึ่งลวงไปข่มขืนกระทำชำเรา พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อปี 2564 โดยตนได้นัดคุยเรื่องงานกับนักการเมืองคนนี้ตอนกลางวันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เขาอ้างเป็นเจ้าของ และบอกว่ามีออฟฟิศอยู่ใกล้ๆ กับร้าน แต่พอไปถึงกลับเป็นคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท 3 เมื่อไปถึงเขาก็ล็อกประตูห้องแล้วข่มขืนเลย ซึ่งตนมีน้ำหนักตัวเพียง 39 กิโลกรัม แม้จะพยายามขัดขืนก็ทำอะไรไม่ได้ โดยตอนเกิดเหตุนั้นตนเพิ่งเลิกกับแฟนที่แพลนจะแต่งงานและเสียน้องชายไป ทำให้อยากเริ่มอะไรใหม่ๆ เขาก็เข้ามาขายฝัน หลอกล่อเรื่องธุรกิจ บอกว่าให้ลองมาคุยกัน เพราะเขาบอกว่าตนมีศักยภาพ เราก็ตกหลุมไป เพราะงานนั้นเป็นการรวมตัวของธุรกิจ
หทัยรัตน์กล่าวอีกว่า การเปิดเผยตัวตนในวันนี้ก็เพื่อให้เหยื่อรายอื่นๆ กล้าที่จะออกมา เพราะตอนแรกตนรู้สึกเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ทำอะไรไม่ได้ แต่พอทราบว่ามีผู้เสียหายอีกเยอะ เลยต้องการออกมาพูด และสามีตนก็สนับสนุน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ขู่ แต่พูดว่าเป็นใคร ทำอะไร ในเชิงข่ม และใช้กำลังบังคับตน หากเขาเป็นคนปกติก็คงแจ้งความไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
หลังจากนั้น (16 เมษายน) หทัยรัตนออกมาแถลงถึงเรื่องการถอนตัวจากผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตสวนหลวง ของพรรครวมไทยยูไนเต็ด โดยให้เหตุผลว่า ตนขอถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง ส.ก. ในเขตสวนหลวง เพื่อไม่ให้เบี่ยงเบนไปเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการเมือง และอยากให้มุ่งเน้นไปที่คดีข่มขืนและอนาจารของ ปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มากกว่า ทั้งนี้ ตนได้แจ้งทางพรรคแล้ว ว่าเหตุผลไม่อยากให้เป็นประเด็นเรื่องการเมือง และตนเองคงไม่ได้ภูมิใจหากได้คะแนนล้นหลาม แต่มาจากคดีที่โดนข่มขืน มากกว่าการใช้ความสามารถ
ทนายตั้มยืนยันไม่ได้ทำเพื่อดิสเครดิตทางการเมือง
ภายหลังจากคดีอยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวอีกครั้ง ว่าการทำคดีครั้งนี้ไม่ได้เป็นการทำเพื่อดิสเครดิตทางการเมืองของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นการช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในคดีล่วงละเมิดทางเพศของนักการเมืองดัง
“มีคนพยายามดิสเครดิตว่า การที่ผมช่วยเหลือเหยื่อถูกลวนลามและข่มขืน ผมมีใบสั่งหรือมีนัยยะทางการเมืองอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่หลงลืมกันเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมก็เปิดประเด็นเรื่องโควตาหวย นั่นก็คนละพรรคนะครับ การที่ผมยอมเสี่ยงเปิดหน้าสู้คนที่มีตำแหน่ง มีอำนาจในสังคม บอกเลยมันโคตรเสี่ยง และที่ทำไปไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลย แค่อยากเป็นทนายประชาชน ที่ช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีปากมีเสียงแค่นั้นเองครับ ทำแบบนี้มาตั้งแต่วันแรก และจะทำตลอดไป ฝากเป็นกำลังใจกันด้วยนะครับ
“ตอนนี้คดีรองหัวหน้าพรรคดัง กำลังมีความพยายามเสนอเงินจำนวนมากให้เหยื่อเพื่อจบคดี และให้อยู่อย่างเงียบๆ ห้ามให้สัมภาษณ์ ห้ามให้ความร่วมมือกับผม เพื่อให้กระแสสังคมเลิกสนใจคดีนี้ไปให้ไวที่สุด”
ปริญญ์เข้าพบพนักงานสอบสวน ปัดตอบปมถูกกล่าวหาเสนอเงินให้ผู้เสียหาย ยุติคดีอนาจาร-ข่มขืน
ช่วงเช้าของวันที่ 17 เมษายน ที่ สน.ลุมพินี ปริญญ์ พานิชภักดิ์ เข้าพบพนักงานสอบสวน หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดีกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุมากกว่า 15 ปี และข่มขืนกระทำชำเรา เพื่อยื่นคำร้องฝากขังออนไลน์ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้
โดยปริญญ์เดินทางมาถึงสถานีตำรวจด้วยรถเก๋ง BMW ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน ฮ-1188 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับทนายความ โดยพยายามเลี่ยงพบกับสื่อมวลชน และเดินไปพบพนักงานสอบสวนที่ประตูหลังของสถานีตำรวจ
เมื่อสื่อมวลชนพยายามสอบถามปริญญ์ กรณีที่ ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ตอนนี้อดีตรองหัวหน้าพรรคกำลังมีความพยายามเสนอเงินจำนวนมากให้เหยื่อเพื่อจบคดี และให้อยู่อย่างเงียบๆ ห้ามให้สัมภาษณ์” ปริญญ์ไม่ได้ตอบประเด็นนี้ ตอบเพียงว่า “วันนี้มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม”
ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ปริญญ์ คดีอนาจาร-ข่มขืน 3 สำนวน ตีราคาประกันรวม 7 แสนบาท ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน (17 เมษายน) หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ควบคุมตัว ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ผู้ต้องหาคดีอนาจารต่อหน้าธารกำนัล 2 คดี และข่มขืนกระทำชำเรา 1 คดี รวม 3 คดี ส่งศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลอนุญาตให้ฝากขังผัดแรก 12 วัน แต่ผู้ต้องหาร้องขอต่อศาลว่าจะขอยื่นคำร้องประกันตัว (ปล่อยชั่วคราว) จึงต้องนำตัวมาที่ศาล ซึ่งพนักงานสอบสวนยื่นคำร้องยื่นคัดค้านการปล่อยชั่วคราว
ก่อนที่ในเวลาต่อมาศาลจะอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันในคดีหมายเลขดำ ฝ.173/2565 และ 174/2565 สำนวนละ 200,000 บาท
คดีหมายเลขดำ ฝ.175/2565 จำนวน 300,000 บาทโดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และให้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ทราบ รวมวงเงินประกันทั้ง 3 สำนวน จำนวน 700,000 บาท
จุรินทร์ยืนยัน ‘คดีปริญญ์’ พรรคจะไม่ปกป้อง ไม่แทรกแซง
ด้าน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีคดีของปริญญ์ โดยระบุว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดในการที่จะพิสูจน์เรื่องต่างๆ เพราะถ้าคนนอกไปพิสูจน์ก็อาจจะมีคำถามเรื่องความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม แต่ถ้าให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้พิสูจน์โดยปราศจากการแทรกแซงแล้ว ทุกฝ่ายก็ยอมรับได้
“ผมก็ย้ำสิ่งที่ได้พูดไปแล้วว่า เราไม่เข้าไปปกป้องใครก็ตามที่กระทำความผิด และพรรคก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงในเรื่องของกระบวนการยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น” จุรินทร์กล่าว
ทนายตั้มโพสต์คลิปบทสนทนา ชี้เป็นคลิปเสียงของเหยื่ออีกคน
วันที่ (17 เมษายน) ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ออกมาโพสต์คลิปบทสนทนาความยาว 9.17 นาที พร้อมข้อความระบุว่า “คลิปเสียงของเหยื่ออีกคน ที่ถูกรองหัวหน้าพรรคล่วงละเมิด สรุปมีกี่คนแน่ นับกันไม่หวาดไม่ไหว โป๊ะแตกขนาดนี้ กลับแก้ตัวไม่หยุด สมกับสุภาษิต ‘คนดีชอบแก้ไข คนอะไรชอบแก้ตัว’ ทั้งที่เหยื่อหลายคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกัน ว่าถูกนักการเมืองผู้นี้ล่วงเกินและกระทำชำเรา ข้อแก้ตัวเดียวที่คิดได้คือ ถูกพรรคการเมืองหนี่งที่ผมไม่ได้มีความสนิทชิดเชื้ออะไรด้วยเป็นคนเซ็ตอัพใส่ร้าย ส่วนเหยื่อที่เหลือคือลอกๆ กันมาจากในทีวี ไม่รู้จักกัน ลืมง่าย ลืมเก่ง คุณเป็นคนแบบไหนกันครับเนี่ย
ทั้งนี้ เนื้อหาในคลิปบทสนทนาที่เป็นไฮไลต์และถูกพูดถึงอยู่ช่วงหนึ่ง คือระหว่างที่ฝ่ายหญิงได้พูดให้ฝ่ายชายยอมรับความผิด และออกไปขอโทษทุกคน ไม่เช่นนั้นตนจะเป็นผู้หญิงอีกคนที่ออกไปพูด
ก่อนฝ่ายชายในคลิป จะพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ฟังก่อน คนที่สองมันก๊อบปี้ตามคนแรก มันเป็นขบวนการ เข้าใจหรือเปล่า มันก๊อบปี้”
“มันเป็นเรื่องการเมือง นี่คือนักการเมือง พรรคการเมือง พรรคก้าวไกล กราบขอร้องละ พี่สาบานด้วยสัตย์จริง ทุกสิ่งที่พูดกับคนคนนั้น พี่ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ คนแรกไม่ได้มีการไปที่ห้องด้วย ฟังก่อนนะ เรื่องมันยาว เรื่องมันละเอียดอ่อนมาก ไม่จริงอย่างที่กล่าวหา”
ทนายตั้มอัปเดต มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความรวมแล้ว 14 ราย
วานนี้ (18 เมษายน) ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม พร้อมผู้เสียหายที่อ้างว่า ถูกนักการเมืองคนหนึ่งลวงไปข่มขืนและกระทำอนาจาร เข้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมที่ สน.ลุมพินี ตั้งแต่ช่วงเวลา 14.20-18.50 น.
โดยวันนี้มีผู้เสียหาย 7 ราย ติดต่อและเดินทางมาพบษิทราที่ สน.ลุมพินี เพื่อพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ขณะนี้มีผู้เสียหายในคดีดังกล่าวรวม 14 ราย สำหรับรายละเอียดผู้เสียหายทั้งหมดมีดังนี้
รายที่ 1 คนเปิดเรื่อง เป็นหญิงสาววัย 18 ปี ถูกกระทำอนาจารที่ร้านอาหาร เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 12 เมษายน
รายที่ 2 เป็นผู้หญิงชาวราชบุรี อดีตทีมงานพรรคการเมือง เหตุเกิดที่เพชรบุรี งานเลี้ยงพรรค ถูกกระทำอนาจาร เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 14 เมษายน
รายที่ 3 แอนนา เกิดเหตุเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ถูกกระทำการข่มขืน ถูกชักชวนไปออฟฟิศ เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 14 เมษายน
รายที่ 4 ออม ถูกกระทำอนาจาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 15 เมษายน
รายที่ 5 หญิงสาว ถูกกระทำอนาจาร ผู้เสียหายและผู้ต้องหารู้จักกันเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะไปเป็นวิทยาเกี่ยวกับการลงทุน เข้าแจ้งความสถานีตำรวจภูธร (สภ.) จังหวัดเชียงใหม่ 16 เมษายน
รายที่ 6 หญิงสาวอายุ 26 ปี ทำธุรกิจส่วนตัว เหตุเกิดปี 2563 ถูกกระทำการข่มขืน นัดคุยธุรกิจที่ร้านอาหาร โดยผู้เสียหายไม่ประสงค์แจ้งความ แต่พนักงานสอบสวนจะร้องทุกข์กล่าวโทษให้ เนื่องจากเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้ และผู้เสียหายเป็นพยานในคดีที่เกี่ยวข้อง
รายที่ 7 ผู้เสียหายถูกลวนลาม ขณะเกิดเหตุช่วงฝึกงานในวัย 17 ปี เมื่อปี 2562 ผู้เสียหายถูกพูดจาแทะโลม ลูบขาบนรถ ขณะนั้นนักการเมืองขับรถมือเดียวไปส่งที่ BTS และใช้อีกมือจับของสงวนทั้งบนและล่าง ผู้เสียหายพยายามปัดป้อง เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 8 ผู้เสียหายถูกลวนลามเหมือนกับผู้เสียหายรายอื่น แต่ไม่ประสงค์ให้บันทึกภาพและสัมภาษณ์ให้รายละเอียดใดๆ เข้าแจ้งความ พฤติการณ์ใช้นิ้วล่วงล้ำ เมื่อปี 2559 เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 9 ผู้เสียหาย อายุ 26 ปี ทำธุรกิจส่วนตัว ถูกลวนลาม เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ที่คอนโด รู้จักจากการไปงานที่ต่างจังหวัด เคยแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 จนตอนนี้ไม่มีความคืบหน้า เข้ามาติดตามคดีวันที่ 18 เมษายน 2565
รายที่ 10 หญิงรายหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่รู้จะแจ้งความอย่างไร ที่ไหน ได้ติดตามข่าวเห็นผู้เสียหาย ทนายเริ่มเดินทางมาแจ้งความ ตัวเองที่ถูกกระทำจึงรู้สึกว่าต้องการได้รับการชดเชยสิ่งที่ผ่านมา เพราะหลังเกิดเรื่องรู้สึกอายและอดทนอยู่อย่างเงียบๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเริ่มจากหลังงานบรรยาย นักการเมืองคนดังกล่าวให้รายชื่อติดต่อ และบอกว่ายินดีให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ ตนเองที่สนใจจะทำธุรกิจจึงติดต่อไป เมื่อเดินทางไปถึงห้องทำงานที่เกิดเหตุ นักการเมืองคนดังกล่าวพยายามเชิญชวนให้ดื่มแอลกอฮอล์ โดยอ้างว่าจะทำให้การพูดคุยราบรื่น แต่เมื่อตนดื่มสักระยะรู้สึกแปลก และถูกบังคับให้ดื่มต่อจนหมดแก้ว จากนั้นจึงเริ่มถูกลวนลามจับมือ แขน และล่วงละเมิดทางเพศ จนตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น และพบว่าตนนอนอยู่ข้างป้อม รปภ.
หลังเกิดเหตุการณ์ นักการเมืองคนดังกล่าวโทรมาพูดคุยตามปกติ แต่ตนตัดสินใจไม่รับสาย และปิดกั้นช่องทางการติดต่อทั้งหมด สุดท้ายนี้อยากฝากไปถึงผู้กระทำ ขอให้ถูกดำเนินคดีถึงที่สุด ชดใช้กรรมในคุก ส่วนตัวรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่เห็นชายคนดังกล่าวทำหน้าที่วิทยากร โดยเหตุการณ์เกิดตั้งแต่ปี 2559 เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 11 ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ผู้เสียหายกับนักการเมืองรู้จักกันตั้งแต่ปี 2556 เหตุเกิดปี 2557 โดยถูกล่อลวงไปที่พัก เพราะชายคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นสำนักงาน ตนยืนยันว่าจะเจอที่สาธารณะ แต่ชายคนดังกล่าวยืนยันว่าต้องกลับไปเอาของ เมื่อผู้เสียหายตามไปจึงพบว่าเป็นห้องนอน นักการเมืองปิดประตูห้องและเริ่มลวนลาม ขณะนั้นตัวเองอ้างเหตุผลทุกอย่างและพยายามขัดขืนแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเมื่อถูกข่มขืนสำเร็จ ตนบอกว่าจะแจ้งความ แต่นักการเมืองรายนี้บอกว่า ใครจะช่วย ใครจะเชื่อ และรู้ไหมว่าพ่อตนเป็นใคร
ยืนยันว่าผู้เสียหายทุกคนไม่รู้จักกันมาก่อน แต่พูดตรงกัน หลังเกิดเหตุรู้สึกด้อยค่าตนเอง แต่วันนี้รู้สึกปลดล็อกความรู้สึก ที่ผ่านมาตั้งแต่เกิดเรื่อง ป่วยเป็นซึมเศร้า แต่ตัวเองไม่แปลกใจที่ผู้ก่อเหตุจะปฏิเสธเข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 12 โดนลวนลามตั้งแต่ปี 2560 เหตุเกิดที่ประเทศอังกฤษ ขณะนั้นนักการเมืองรายนี้ไปสัมมนา ขณะนั้นเป็นนักศึกษา ถูกเชิญชวนให้ดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์ เข้ามาเสนอตัวเป็นพยานที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 13 ผู้เสียหายอายุ 43 ปี เหตุเกิดประมาณปี 2550 ขณะนั้นทำงานในบริษัทต่างชาติ ตึกเดียวกัน มีการพูดคุยกัน จากนั้นจึงชวนเข้าห้องประชุมและลวนลาม เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
รายที่ 14 ผู้เสียหายอายุ 31 ปี เหตุเกิดปี 2558 อ้างว่าถูกหลอกให้ไปตรวจสอบคอนโดด้วย เมื่อสบโอกาสนักการเมืองคนดังกล่าวได้ข่มขืน เข้าแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เมื่อวันที่ 18 เมษายน
#คดีปริญญ์ เอฟเฟ็กต์ จุรินทร์ลาออก 2 คณะกรรมการสตรีและเพศของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม แม้คดียังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนจากทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่คดีปริญญ์ยังคงสร้างผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคลหรือพรรคอยู่ไม่น้อย เมื่อล่าสุด (19 เมษายน) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง และกราบขอโทษทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับปริญญ์ พร้อมประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และประธานคณะกรรมการระดับชาติส่งเสริมสถานภาพสตรี
โดยเน้นย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนชัดเจนที่ต่อต้านการคุกคามทางเพศ ที่ผ่านมาพรรคชัดเจนว่าต่อต้านความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และคนในครอบครัว รวมถึงการเลือกปฏิบัติต่อความต่างระหว่างเพศ พรรคไม่ปกป้อง และขอให้สบายใจว่าพรรคไม่แทรกแซงใดๆ ในกระบวนการยุติธรรมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยอมรับได้ของพี่น้องประชาชน รวมถึงไม่เพิกเฉยต่อสถานการณ์