“ถ้าจะสูญพันธุ์ พรรคนี้สูญพันธุ์ไปนานแล้ว” หลายถ้อยคำของ แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้นำของพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน มีทั้งส่วนที่เป็นการปลอมประโลมความบอบช้ำ และส่วนที่ปลุกใจให้ฮึกเหิม แต่ทั้งหมดสะท้อนได้ดีว่าอดีตพรรคการเมืองอันดับ 1 ของไทย กำลังเผชิญความระส่ำระสายเพียงใด
เวที ‘ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องเพื่อไทย ในวันนี้ (7 ตุลาคม) เป็นการ ‘ขยับใหญ่’ ครั้งแรกหลังพรรคเพื่อไทยสูญเสียอำนาจรัฐมาเป็นฝ่ายค้าน และไม่ว่าโดยตั้งใจหรือบังเอิญ ในวันเดียวกันนี้มีอีกอย่างน้อย 2 พรรคการเมืองที่จัดกิจกรรมใหญ่พร้อมกัน
ทั้งพรรคภูมิใจไทยที่เปิดบ้านต้อนรับสมาชิกใหม่อย่าง โกศล ปัทมะ บ้านใหญ่นครราชสีมา ที่ตีจากพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับ วิกรม เตชะธีราวัฒน์ ทายาท สส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย ที่เข้าสวมเสื้อร่วมงานกับพรรคกล้าธรรม ยิ่งฉายภาพตอกย้ำสภาวะเลือดไหลออกต่อเนื่อง
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บนเวที ‘ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย’
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
“สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ทุกประสบการณ์สอนให้เราเรียนรู้ เพื่อก้าวต่อไปอย่างเข้มแข็งกว่าเดิม” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยประกาศบนเวที
แพทองธารบอกว่า ชะตากรรมของพรรคเพื่อไทยเชื่อมโยงกับประเทศไทย ทุกครั้งที่พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นได้ ประเทศไทยก็มักจะมีพลังใหม่ที่รุ่งโรจน์ตามไปด้วย และการ ‘ยกเครื่อง’ ในวันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้พรรคเพื่อไทยกลับไปยิ่งใหญ่
อะไรคือการ ‘ยกเครื่อง’ ที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวถึง และจะพาพรรคกลับสู่จุดรุ่งโรจน์ได้จริงหรือไม่
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
เปลี่ยนประเทศไทย เริ่มจากเปลี่ยน (โครงสร้าง) เพื่อไทย
มีข้อมูลเปิดเผยว่า ภายหลังการทุ่มเถียงและหารือกันจนตกผลึกในวงประชุมที่ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางว่า จะขับเคลื่อนพรรคเพื่อไทยต่อไปอย่างไร จนนำมาสู่การ ‘ยกเครื่อง’ ในวันนี้ ภายใต้ความเชื่อว่า “ถ้าต้องการเปลี่ยนประเทศ ก็ต้องเริ่มจากกล้าเปลี่ยนแปลงภายในพรรค”
วงประชุมดังกล่าวได้ข้อสรุปว่า การยกเครื่องที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนและจัดวางบทบาทของบุคลากรในพรรคให้ชัดเจน โดยเฉพาะ ‘คนรุ่นใหม่’ กับ ‘คนรุ่นเดิม
สอดคล้องกับที่หัวหน้าพรรคอธิบายโครงสร้างใหม่ว่า กรรมการบริหารพรรค จะได้รับคำปรึกษาจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ และ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการเมือง กล่าวคือ คนรุ่นเดิมถอยขึ้นไปเป็นมันสมองและส่งต่อประสบการณ์ ขณะที่ผู้เล่นหลักในสนาม ต้องเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่มีอำนาจตัดสินใจ
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจัดวางบทบาทในการทำงานออกเป็น ‘คนทำเลือกตั้ง’ รับผิดชอบด้านยุทธศาสตร์ในสนามเลือกตั้งเพื่อมุ่งสู่ชัยชนะ และ ‘คนทำนโยบาย’ มีหน้าที่พัฒนาเนื้อหาสาระและแนวทางการบริหารประเทศ ทั้งสองส่วนจะทำงานโดยไม่มีการแทรกแซงซึ่งกันและกัน ก่อนจะนำมาบรรจบและปรับเปลี่ยนให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
แพทองธารเปิดเผยว่า โครงสร้างใหม่นี้ออกแบบขึ้นจากบทเรียนในอดีต และยอมรับว่าโครงสร้างเก่าที่ไม่ชัดเจนส่งผลให้หลายอย่างติดขัด จนมั่นใจว่าโครงสร้างใหม่นี้จะทำให้ทุกคนมีอำนาจตัดสินใจในส่วนที่รับผิดชอบ เพื่อให้พรรคเพื่อไทยเดินไปข้างหน้าด้วยเอกภาพ และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
“อำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการเมืองของพรรค จะอยู่ที่หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหาร” เธอกล่าว “ต่อไปนี้จะไม่มีทางลัด ทางเลี้ยว อ้อมไปทางไหน มีแต่เส้นทางที่ตรง ชัดเจนในการตัดสินใจ”
น่าจับตาว่า การยกเครื่องที่เริ่มจากการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในระดับโครงสร้างพรรค อาจตอบโจทย์กับความท้าทายทางการเมืองที่รอพรรคเพื่อไทยอยู่ข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่เงาของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยทาบทับพรรคเพื่อไทยอยู่ ได้จางหายลงไปชั่วคราว
พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์, คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และ แพทองธาร ชินวัตร หลังเข้าเยี่ยม ทักษิณ ชินวัตร ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
เปิดกระดานคณิตศาสตร์การเมือง 200 ที่นั่งของเพื่อไทย มีจริงไหม
อีกหนึ่งสัญญาณความพร้อมก้าวสู่สังเวียนเลือกตั้งใหญ่ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็ววัน นอกจากการเปิดตัวผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัคร สส. พรรคเพื่อไทย จำนวน 185 คนแล้ว ยังมีการแต่งตั้ง สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค ด้วยภาพลักษณ์แกนนำกลุ่มสามมิตร ที่ขึ้นชื่อเรื่องการประสานงานกับทุกฝ่าย และเส้นทางการเมืองอันยั่งยืนหลายทศวรรษ
ท่ามกลางสภาพเลือดไหลออก และการ ‘ข่มขวัญ’ จากบรรดาพรรคการเมืองคู่แข่ง สุริยะคว้าไมโครโฟน และประกาศต่อหน้ากองทัพสื่อมวลชนอย่างมั่นใจว่า เขาตั้งเป้าหมายให้พรรคเพื่อไทยกวาดชัยชนะ “200 (เก้าอี้ สส.) บวกลบ 10%” พร้อมย้ำ “ไปพิสูจน์กันในวันเลือกตั้ง”
เขาบอกว่า สาเหตุที่ทำให้มั่นใจ เพราะจากการสำรวจกระแสนิยมในโซเชียลมีเดีย พบว่าความนิยมของพรรคประชาชนตกต่ำลงไปมาก ภายหลังพรรคสีส้มมีมติยกมือสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรี เขามองว่า คะแนนที่ลดลงเช่นนี้เป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยชิงชัยได้ หลังพ่ายแพ้ไม่มากในการเลือกตั้งครั้งก่อน
สุริยะประเมินด้วยว่า พรรคประชาชนจะได้คะแนนเสียงไม่เกิน 100 ที่นั่ง สส. ขณะที่พรรคภูมิใจไทยที่มีคะแนนอยู่เดิมราว 70 ที่นั่ง หากรวม สส. ที่ ‘ดูด’ มาจากพรรคอื่นด้วย ก็จะอยู่ที่ประมาณ 120 ที่นั่ง
“จากเดิมที่แต่ละโพสต์ (เกี่ยวกับพรรคประชาชน) มีผู้กดถูกใจหลักหลายหมื่น ประมาณ 8 หมื่น ตอนนี้เหลือแค่หมื่นเดียว” สุริยะตั้งข้อสังเกต
สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวเลขคณิตศาสตร์การเมืองเช่นนี้ สามารถมองถึงวัตถุประสงค์ได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้บรรดา สส. เพื่อหยุดสภาวะเลือดไหลออก หรือเป็นกลยุทธ์กดดันให้ฝ่าย ‘ทำเลือกตั้ง’ ของพรรคอื่นๆ เริ่มตื่นตัว แต่ที่แน่ชัดคือ ตัวเลขระหว่าง 180-210 เก้าอี้ ที่สุริยะคาดหมายนั้น เป็นจำนวนมากกว่าผลเลือกตั้งที่พรรคเพื่อไทยได้รับเมื่อปี 2566 (141 เสียง) ถึงเกือบ 50%
เมื่อย้อนมองดูสภาพความเป็นจริง แม้เวลา 4 เดือนก่อนรัฐบาลอนุทินจะยุบสภาตามข้อตกลง MOA หรือราว 8 เดือน หากรวมระยะเวลารัฐบาลรักษาการ อาจดูเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่ก็นานพอให้เกิดปัจจัยต่างๆ ทางการเมือง ที่อาจกระทบต่อผลการเลือกตั้งได้ทุกเสมอ ทั้งผลการทำงานของรัฐบาล การตรวจสอบของฝ่ายค้าน ตลอดจนกระแสรณรงค์การทำประชามติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไพ่ใบสุดท้ายที่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดยอมเผยออกมา คือ ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี’ ซึ่งอาจเป็นจุดพลิกผันสำคัญ เพราะเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนโฉมหน้าของพรรคการเมืองนั้นๆ ในคูหาเลือกตั้งก็เป็นได้ ท้ายที่สุดแล้ว เวที ‘ยกเครื่องเพื่อไทย’ และตัวเลขของสุริยะนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสมรภูมิอันเข้มข้นนับจากนี้
การเปิดตัวผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัคร สส. ของพรรคเพื่อไทย
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา