×

USO เปิดพิรุธกองทุนหมื่นล้านของ กสทช.

18.12.2023
  • LOADING...

ในการทำงานของ กสทช. มีสิ่งที่เรียกว่า ‘บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม’ (Universal Service Obligation: USO) หรือโครงการ USO คาดว่ามีเงินในกองทุนมากกว่างบประมาณหลักที่ กสทช. ได้เสียอีก โดยปีนี้มีตัวเลข 8 พันล้านบาท และในปีก่อนๆ มีมากถึง 4 หมื่นล้านบาท 

 

แม้ก่อนหน้านี้ THE STANDARD จะเคยตั้งคำถามถึง กสทช. ที่ได้งบประมาณจากภาษีประชาชนกว่า 6 พันล้านบาท ทว่าประเด็นของ กสทช. โดยเฉพาะโครงการ USO กลับมีความน่าสนใจมากกว่าที่คิด  

 

⭕รายได้มหาศาลและหน้าที่ของโครงการ USO 

 

โครงการ USO คือหนึ่งในภารกิจหลักของ กสทช. ในการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานให้ทั่วถึง โดยเฉพาะกับผู้มีรายได้น้อย เด็ก ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาสในสังคม และประชาชนในพื้นที่ห่างไกล 

 

เมื่อมีไอเดียว่าทุกคนควรเข้าถึงอินเทอร์เน็ต สิ่งต่อมาคือการหางบประมาณเพื่อดำเนินนโยบาย กสทช. จึงหารายได้ผ่านการหักรายได้ 2.5% ของโอเปอเรเตอร์โทรคมนาคมทั้งหมดในประเทศ ลองคิดภาพว่า AIS, TRUE-DTAC และ NT ต้องหักรายได้ 2.5% เข้ากองทุนนี้ ทำให้ USO มีงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท แม้จะหักค่าใช้จ่ายที่ส่งไปยังคลังแล้วก็ตาม 

 

ข้อมูลบนเว็บไซต์ กสทช. เผยให้เห็นว่ากรอบงบประมาณตามแผนงาน USO ค่อนข้างสูงพอสมควร  

 

แผน USO ฉบับที่ 1 ปี 2555-2559 มีกรอบงบประมาณ 20,468 ล้านบาท 

แผน USO ฉบับที่ 2 ปี 2560-2564 มีกรอบงบประมาณ 45,456 ล้านบาท 

แผน USO ฉบับที่ 3 ปี 2565 มีกรอบงบประมาณ 8,000 ล้านบาท 

แผน USO ฉบับที่ 4 ปี 2566 มีกรอบงบประมาณ 8,000 ล้านบาท

 

กสทช. ใช้งบของกองทุน USO เพื่อให้บริการ 5 ประเภท ได้แก่

 

  1. บริการ WiFi สาธารณะประจำหมู่บ้าน 
  2. บริการศูนย์อินเทอร์เน็ตสาธารณะ (ศูนย์ USO Net) 
  3. บริการห้องอินเทอร์เน็ตสาธารณะ (USO Wrap) 
  4. บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับโรงเรียน
  5. บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงสำหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) 

 

⭕เน็ตประชารัฐ ความซับซ้อนในภาระหน้าที่ของ กสทช. และกระทรวงดีอี 

 

วันที่ 22 สิงหาคม 2559 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อนุมัติให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินภารกิจ USO ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปัจจุบันคือกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อยกระดับบริการโทรคมนาคมพื้นฐานทั่วประเทศ แบ่งกรอบพื้นที่เป้าหมายเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 

 

Zone A และ B พื้นที่เขตเมืองและพื้นที่ศักยภาพ จำนวน 30,635 หมู่บ้าน 

Zone C พื้นที่ห่างไกลไม่เกิน 15 กิโลเมตร จำนวน 40,432 หมู่บ้าน 

Zone C+ พื้นที่ห่างไกลมากกว่า 15 กิโลเมตร จำนวน 3,920 หมู่บ้าน 

(Zone C ทั้งหมดรวมเป็น 44,352 หมู่บ้าน) 

 

แผนนี้ถูกเรียกว่าโครงการ ‘เน็ตประชารัฐ’ ทั้งกระทรวงดีอีและโครงการ USO ของ กสทช. ต่างใช้ชื่อเดียวกัน แต่แบ่งดูแลกันคนละพื้นที่และมีการทำงานต่างกัน 

 

พสธร อรัญญพงษ์ไพศาล เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน ให้ข้อมูลน่าสนใจกับเราว่า โครงการเน็ตประชารัฐเป็นไอเดียแรกเริ่มจากกระทรวงดีอีที่มอบหมายส่งต่อให้บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันคือบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เป็นผู้ดำเนินการพัฒนาโครงข่ายในพื้นที่ Zone C จำนวน 24,700 หมู่บ้าน 

 

หน้าที่หลักของโครงการเน็ตประชารัฐคือการทำ ‘Open Access’ สร้างโครงข่ายให้โอเปอเรเตอร์ท้องถิ่นที่ไม่ใช่เจ้าใหญ่และไม่มีทุนมากพอสร้างโครงข่ายเอง ได้มาเชื่อมต่ออุปกรณ์ โทรคมนาคม กระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตในชุมชน

 

แต่พอกระทรวงดีอีทำมาได้ระยะเวลาหนึ่ง งบประมาณที่ได้แบบปีต่อปีไม่เพียงพอ ส่งผลให้การบริการขัดกับหลักการโทรคมนาคมที่การสื่อสารต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ค้างจ่าย ค่าบำรุงรักษา ค่าโอเปอเรชัน ปัญหาเรื่องความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการให้บริการโทรคมนาคม และไม่ใช่หน่วยงานที่มีภารกิจนี้ตั้งแต่ต้น ท้ายที่สุดต้องขอให้ กสทช. มาทำโครงการนี้ต่อ โดยดูแลหมู่บ้าน Zone C ที่เหลืออีก 15,732 หมู่บ้าน รวมกับพื้นที่โซน C+ อีก 3,920 หมู่บ้าน เป็น 19,652 หมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณของ USO

 

พชร นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช. ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำประธาน กสทช. ด้านเทคโนโลยีต่างประเทศ พัฒนาธุรกิจ และนโยบายภาครัฐ ชี้แจงประเด็นนี้ว่า โครงการเน็ตประชารัฐเป็นไปตามแผน USO ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และเป็นไปตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 17 ที่จัดให้มีบริการทั่วถึงและเท่าเทียม โดยมีโครงการนำร่องที่จังหวัดพิษณุโลกและหนองคาย

 

จนกระทั่ง คสช. ยึดอำนาจ ออกคำสั่งให้หยุดการดำเนินโครงการ USO และนำเงินประมูลคลื่น 4G เข้าคลังเพื่อผันเป็นงบประมาณกลับไปให้กระทรวงดีอี ซึ่ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้น ให้กระทรวงดีอีกำหนดจุดให้โอเปอเรเตอร์ไปดำเนินการ โครงการทั้งหมดจึงไม่ใช่ความคิดของ กสทช. แต่เป็นความคิดและแผนของรัฐบาลยุค คสช. ที่เป็นผู้บริหารประเทศในเวลานั้น

 

ทางด้านของพสธรมองว่า หรือจริงๆ แล้วโครงการเน็ตประชารัฐควรอยู่กับ กสทช. ตั้งแต่แรก เพราะภารกิจหลักของ กสทช. คือการให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานทั่วถึง ที่จะต้องวางแผนแม่บทว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงบริการโทรคมนาคม ดึงดูดให้โอเปอเรเตอร์เข้าไปลงทุนและสร้างเครือข่ายในพื้นที่ห่างไกล และกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมกับทุกคน 

 

⭕ ขอบเขตภารกิจกว้าง เปิดช่องให้ กสทช. ลองจับงานหลายทาง?

 

หนึ่งโครงการที่ถูกพูดถึงมากเมื่อช่วงต้นปีนี้คือ โครงการโทรเวชกรรมถ้วนหน้า (Universal Telehealth Coverage: UTHC) หรือ Telehealth ที่คณะอนุกรรมการการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการอนุมัติงบจากกองทุน USO กรอบวงเงิน 3,850 ล้านบาท และเสนอให้คณะกรรมการ กสทช. พิจารณา

 

แผนโครงการ Telehealth ก่อให้เกิดการถกเถียงทั้งภาคประชาชนรวมถึงในบอร์ด กสทช. ว่างานนี้ควรเป็นหน้าที่ของใครกันแน่ และอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้เงินกองทุน USO ที่ระบุไว้ว่าเน้นให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานแก่ประชาชน หลายฝ่ายมองว่าทำงานซ้ำซ้อนกับโครงการรัฐที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปแล้ว และมีความใกล้เคียงกับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข ที่คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติไปเมื่อเดือนมกราคม 2566

 

ในเดือนพฤษภาคม บอร์ด กสทช. ลงมติ 4:3 ให้ยกเลิกโครงการดังกล่าว แต่ก็ยังคงสร้างคำถามทิ้งไว้ว่าทำไม กสทช. ถึงคิดริเริ่มทำสิ่งนี้ทั้งที่มีหน่วยงานอื่นทำอยู่แล้ว และหากผ่าน งบประมาณกว่า 3,850 ล้านบาทจะถูกใช้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ 

 

กสทช. เป็นหน่วยงานที่มีอิสระทางปกครอง อิสระทางการเงิน และอิสระในการบริหารบุคลากร อีกทั้งรัฐธรรมนูญ 2560 ส่งผลให้ สว. ที่เคยมีอำนาจถอดถอนบอร์ด กสทช. ตอนนี้ก็ไม่สามารถทำได้แล้ว หลายครั้งประชาชนจึงเกิดความรู้สึกว่า กสทช. ที่มีความเป็นอิสระสูง ไม่ได้ใช้อำนาจตรงตามวัตถุประสงค์หลักขององค์กร

 

อีกโครงการที่ถูกพูดถึงคือโครงการพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสู่สังคมดิจิทัลใน 5 ภูมิภาค หรือโครงการจ้างอบรม IT คนชายขอบ ที่อยู่ในแผน USO ฉบับที่ 2 วงเงิน 1,420 ล้านบาท และอยู่ในแผนฉบับที่ 4 ปี 2566 มีวงเงิน 1,796 ล้านบาท 

 

โครงการนี้มีการประมูลหาผู้ให้บริการฝึกทักษะแก่กลุ่มเป้าหมาย 5 แสนคน เกิดการพัฒนาทักษะความรู้ด้าน ICT, Smart Farming อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการทำงานซ้ำซ้อนกับการฝึกทักษะของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ 

 

นอกจากข้อสงสัยเรื่องการทับซ้อนด้านการทำงาน ภคมน หนุนอนันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เคยอภิปรายประเด็นนี้เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่าโครงการดังกล่าวอาจมีการใช้งบประมาณแบบไม่โปร่งใสหรือไม่

 

ไม่เพียงเท่านี้ แหล่งข่าวที่มีส่วนร่วมในการจัดอบรมของ กสทช. ให้ข้อมูลกับเราว่า โครงการอบรมแอปพลิเคชันและเทคโนโลยีต่างๆ ค่อนข้างดำเนินไปได้ด้วยดี ฟีดแบ็กของประชาชนหลายพื้นที่ที่เข้าร่วมบอกว่าได้ประโยชน์ เสียเพียงอย่างเดียวคือพวกเขาไม่มีสมาร์ทโฟนใช้โหลดแอปพลิเคชันที่เข้าอบรม แล้วแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นการอบรมที่มีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาอย่างถูกจุดหรือไม่ 

 

แต่ทางฝั่ง กสทช. มองต่างออกไป พชรระบุว่าการฝึกอบรม IT คนชายขอบ เป็นแผนที่ถูกกำหนดไว้ภายใต้กรอบทฤษฎี USO ที่จะต้องให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีโดยการฝึกอบรมหรือการให้ความรู้ และเป็นส่วนหนึ่งของ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 เพื่อให้ผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร 

 

ส่วนพสธรมองไปยังการวางแผนจะทำตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะการวางกลยุทธ์โดยรัฐไม่ว่าโครงการใดควรวางให้รอบคอบ เช่น พิจารณาให้ครบถ้วนว่าการนำอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่ห่างไกลจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง ดูเรื่องอุปกรณ์ ผู้คนในพื้นที่มีความต้องการทางเศรษฐกิจแบบไหน แล้วจะใช้อินเทอร์เน็ตไปกับเรื่องใดบ้าง ไม่ใช่แค่นำอินเทอร์เน็ตเข้าไปเพียงอย่างเดียว 

 

สิ่งนี้ไม่ใช่ภาระของ กสทช. เพียงอย่างเดียว แต่เป็นภารกิจเชิงนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องแบ่งภารกิจกับหน่วยงานต่างๆ ให้ชัดเจน วางกรอบยุทธศาสตร์ให้ครบว่าใครทำอะไร ผลักดันตรงไหน หากไม่มีการวางแผนแล้วประสานงานอย่างจริงจัง ปัญหาแบบนี้ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่เสมอ 

 

⭕ทำไมเราถึงต้องตรวจสอบโครงการ USO 

 

ภารกิจหลักของ กสทช. คือการออกประกาศหลักเกณฑ์ให้เกิดการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ป้องกันการผูกขาด เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถมีอำนาจต่อรองกับรายใหญ่ ทำให้เกิดความหลากหลายในตลาด คุ้มครองผู้บริโภค 

 

ทิศทางการทำงานของ กสทช. ในปัจจุบัน เกิดขึ้นมาจากการที่รัฐมองว่าอินเทอร์เน็ตกลายเป็นสิทธิขั้นมูลฐาน มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ถ้ารัฐไม่สามารถให้คนเข้าถึงสิ่งนี้ได้ ก็จะมีปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ

 

แม้มองแบบผิวเผิน หลายคนอาจเข้าใจว่างบประมาณของกองทุน USO ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีของประชาชนโดยตรงเหมือนอย่างตัวเลขงบประมาณอื่นๆ ที่ระบุไว้ชัดเจน แต่เราไม่สามารถมองข้ามงบประมาณของกองทุน USO หรือคิดว่างบก้อนนี้ไม่ได้มาจากเงินของตัวเอง เพราะเงินจำนวนมหาศาลถูกแบ่งมาจากรายได้ของโอเปอเรเตอร์ที่เก็บจากผู้ใช้บริการ 

 

เมื่อ กสทช. กลายเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจของรัฐและใช้อำนาจรัฐเพื่อจัดทำ กำกับดูแล และจัดสรรงบประมาณเพื่อบริการสาธารณะตามกฎหมาย ก็จำเป็นจะต้องถูกตรวจสอบว่าใช้งบไปกับอะไรบ้าง แล้วผลงานที่ออกมาประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ซึ่งท้ายที่สุด การทำงานของ กสทช. ก็จะส่งผลกระทบแบบลูกโซ่ไปยังประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคอยู่ดี

 

ชมคลิปได้ที่: https://thestandard.co/key-messages-uso-nbtc/

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising