×

ส่องแนวทาง อีลอน มัสก์ เตรียมตัดงบกลาโหมสหรัฐฯ หวังลดรายจ่าย-เพิ่มประสิทธิภาพกองทัพ

10.02.2025
  • LOADING...

บทบาทของ ‘อีลอน มัสก์’ ได้รับความสนใจอย่างมาก หลังจากที่เขาได้รับแต่งตั้งจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ให้เข้ามาบริหาร ‘หน่วยงานดูแลประสิทธิภาพรัฐบาล’ (Department of Government Efficiency: DOGE) โดยมุ่งหวังที่จะปฏิรูประบบการทำงานของภาครัฐ ลดกฎระเบียบและงบประมาณที่ไม่จำเป็น รวมถึงปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ถึงแม้ว่า DOGE จะมีคำว่า ‘Department’ อยู่ในชื่อ แต่หน่วยงานนี้ก็ไม่ได้มีสถานะเป็นกระทรวง กรม หรือแผนกของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ แต่อย่างใด แต่มีลักษณะเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นชั่วคราว ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับทรัมป์ ทั้งยังสามารถต่อโทรศัพท์สายตรงไปยังทำเนียบขาวได้ และคาดว่า DOGE จะปฏิบัติหน้าที่ไปจนถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งตรงกับโอกาสครบรอบ 250 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายสำคัญที่ต้องการจะลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ลง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายประจำปีของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ

 

กลาโหมสหรัฐฯ คือเป้าหมายต่อไป

 

ทรัมป์ระบุว่า เขาจะให้มัสก์เดินหน้าตรวจสอบและตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ จากการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในด้านกลาโหมของสหรัฐฯ พร้อมเปิดเผยการฉ้อโกงและการละเมิดกฎหมายต่างๆ ที่ซุกซ่อนไว้ใต้พรมของหน่วยงานด้านกลาโหมสหรัฐฯ

 

“มาตรวจสอบกองทัพกันเถอะ เราจะพบการฉ้อโกงและการละเมิดกฎหมายที่มีมูลค่าหลายพันล้าน หลายแสนล้านดอลลาร์ คุณรู้ไหม ประชาชนเลือกผมให้มาทำหน้าที่นี้” 

 

งบประมาณของเพนตากอนใกล้จะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีแล้ว โดยเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้นได้ลงนามในร่างกฎหมายอนุมัติการใช้จ่ายด้านกลาโหมสูงราว 8.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณปัจจุบัน

 

ถึงแม้แผนการตรวจสอบงบกลาโหมสหรัฐฯ ของมัสก์จะยังไม่ชัดเจน แต่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่น การยกเลิกโครงการต่างๆ ที่สนับสนุนสิทธิความหลากหลายภายในกองทัพ รวมถึงจัดการกับการจัดซื้อจัดจ้างที่อาจไม่โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวให้กับหน่วยงานด้านกลาโหม รวมถึงนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพสหรัฐฯ 

 

ทางด้าน ริชาร์ด แดนซิก รัฐมนตรีว่าการทบวงทหารเรือสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีบิล คลินตัน แสดงความเห็นว่า การเข้ามามีบทบาทของมัสก์อาจมีส่วนเปิดเผยความจริงอันน่าหดหู่ของกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลชุดก่อนๆ พร้อมทั้งระบุว่า ระบบการต่อเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ ยังติดอยู่ในศตวรรษที่ 20 และผลิตเรือรบได้เพียง 12 ลำในปี 2024 ในขณะที่จีนสามารถผลิตได้มากถึง 30 ลำ และเน้นย้ำว่าเครื่องมือต่างๆ ที่มัสก์มี ทั้งซอฟต์แวร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะมีส่วนช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงในกองทัพสหรัฐฯ 

 

แดนซิกยังกล่าวชื่นชมมัสก์ว่า มักส์เป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยี แต่ยังสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาเก่าๆ ในแนวทางใหม่ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ต้องการการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

 

ก่อนหน้านี้มัสก์ก็เคยพุ่งเป้าไปที่โครงการจัดซื้อเครื่องบินรบของสหรัฐฯ พร้อมเสนอแนะให้ทรัมป์ทุ่มเม็ดเงินไปกับโดรนมากกว่าเครื่องบินรบที่ขับเคลื่อนโดยมนุษย์ เนื่องจากเชื่อว่าโดรนจะเป็นกำลังรบสำคัญของการทำสงครามในอนาคต อีกทั้งในทีมงานของ DOGE ก็เคยเสนอให้ปิดหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่าง สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) อีกด้วย

 

มัสก์ DOGE และเสียงวิพากษ์วิจารณ์

 

ทรัมป์ตั้งเป้าจะมอบผลงานของ DOGE ที่มีส่วนสำคัญในการจัดสรรงบประมาณภาครัฐให้มีประสิทธิภาพสูงสุดและสอดคล้องกับแนวคิด Make America Great Again ให้เป็นของขวัญสำหรับพลเมืองอเมริกันในช่วงวันชาติสหรัฐฯ ปี 2026 

 

พันธมิตรและกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่งคาดหวังให้ DOGE เป็นหน่วยงานที่คล้ายคลึงกับ Grace Commission ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคเอกชนที่ก่อตั้งในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ตามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร 12369 เมื่อปี 1982 เพื่อปฏิรูประบบการทำงานและควบคุมค่าใช้จ่ายของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วง 2 ปีแรกของการปฏิบัติหน้าที่คณะทำงานดังกล่าวจะเสนอแนะแนวทางกว่า 2,500 ข้อไปยังทำเนียบขาวและรัฐสภาสหรัฐฯ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ถูกนำไปปฏิบัติหรือปรับใช้ต่อ

 

ตลอดระยะเวลากว่า 3 สัปดาห์ หลังจากที่มีการแต่งตั้งมัสก์ และจัดตั้ง DOGE ขึ้น หน่วยงานรัฐบาลกลางที่น่าจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดในช่วงเวลานี้คือ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) ซึ่งเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่องค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ หรือองค์กรไม่แสวงหากำไรทั่วโลก การสั่งระงับงบประมาณหรือเตรียมสั่งปิดหน่วยงานนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้างในประชาคมโลก โดยเฉพาะองค์กรต่างๆ ที่เงินทุนสนับสนุนขึ้นอยู่กับงบประมาณช่วยเหลือของสหรัฐฯ 

 

นอกจากนี้หน่วยงานอย่าง สำนักงานคุ้มครองทางการเงินของผู้บริโภค (CFPB) ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องผู้บริโภค หลังวิกฤตการณ์ทางการเงินและวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์เมื่อปี 2008 ก็ตกเป็นเป้าหมายของทรัมป์และมัสก์เช่นเดียวกัน ซึ่งทั้งคู่มุ่งประเด็นไปที่ความไม่คุ้มค่าของเงินภาษีพลเมืองอเมริกันที่ต้องเสียไปกับผลตอบแทนที่ได้กลับมา

 

หลังจากที่มัสก์เตรียมพุ่งเป้ามาที่กลาโหมสหรัฐฯ พร้อมกับสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลที่เป็นความลับในระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานรัฐบาล เพื่อให้บรรลุภารกิจที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้หลายฝ่ายออกมาตั้งคำถามถึงขอบเขตอำนาจของมัสก์ และ DOGE รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ ผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ ซึ่งบริษัทของมัสก์ยังถือสัญญาสำคัญหลายฉบับกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ รวมถึงกระทรวงกลาโหมด้วย

 

นักวิจารณ์มองว่า ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของมัสก์ และ DOGE ผูกโยงอยู่กับความเสี่ยงที่ข้อมูลลับหรือข้อมูลส่วนบุคคลจำนวนมากจะได้รับการเปิดเผย และก่อให้เกิดความเสียหายครั้งใหญ่ตามมา โดย คริส เมอร์ฟีย์ วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตจากคอนเนตทิคัต ระบุว่า นี่คือวิกฤตการณ์ด้านรัฐธรรมนูญที่ร้ายแรงที่สุดที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญอย่างไม่ต้องสงสัยนับตั้งแต่คดีวอเตอร์เกต พร้อมทั้งกล่าวโจมตีว่า ทรัมป์ต้องการที่จะตัดสินใจว่าจะใช้เงินที่ไหนและอย่างไร เพื่อที่เขาจะได้ตอบแทนเพื่อนพันธมิตรทางการเมืองของเขา และลงโทษศัตรูทางการเมืองของเขาได้ นั่นคือการพังทลายของประชาธิปไตย

 

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางในนิวยอร์กระงับความพยายามของคณะทำงาน DOGE ชั่วคราว ในการเข้าถึงข้อมูลการชำระเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ พร้อมระบุว่า การเข้าถึงดังกล่าวอาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน ซึ่งอาจก่อให้เกิด ‘อันตรายที่ยากจะแก้ไข’ ต่อชาวอเมริกัน

 

ขณะที่ พีต เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า เขาพร้อมที่จะตัดหรือยุติโครงการต่างๆ ที่ไม่มีส่วนช่วยส่งเสริมขีดความสามารถให้กับกองทัพสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับคู่แข่งที่มีความก้าวหน้าอย่างจีน พร้อมให้คำมั่นว่าอย่างน้อยภายใน 4 ปี หรือก่อนหมดวาระของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ จะต้องผ่านการตรวจสอบต่างๆ อย่างโปร่งใส เพราะพลเมืองอเมริกันผู้เสียภาษีทุกคนมีสิทธิที่จะรู้ว่า เงิน 8.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน ถูกใช้ไปอย่างไร และได้รับการตรวจสอบว่ามีการใช้งบอย่างชาญฉลาดและคุ้มค่าหรือไม่

 

มัสก์กับขอบเขตที่ ‘เป็นไปไม่ได้’

 

เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของมัสก์ที่จะหั่นงบภาครัฐของสหรัฐฯ กระตุ้นให้หลายฝ่ายตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ และขอบเขตของอำนาจที่อาจจะถูกจำกัดไว้ในเชิงโครงสร้างทางกฎหมาย

 

เอเลน คามาร์ก นักวิจัยอาวุโสด้านการศึกษาธรรมาภิบาล ประจำสถาบันบรูกกริงส์ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า ความพยายามที่จะปรับปรุงการใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ ‘สามารถทำได้’ พร้อมยกตัวอย่างงานศึกษาของเธอที่ศึกษาความพยายามที่จะลดการใช้จ่ายของรัฐบาลคลินตันในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งมีส่วนช่วยให้สหรัฐฯ ประหยัดเงินได้กว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลางลงได้ราว 250,000 คน 

 

คามาร์กแสดงความเห็นว่า ความคิดที่จะลดการใช้จ่ายของรัฐบาลลง 1 ใน 3 เหมือนกับที่มัสก์ให้คำมั่นสัญญาไว้เป็น ‘สิ่งที่น่าขัน’ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของงบประมาณทั้งหมดเป็นงบประมาณที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยกฎหมาย (Mandatory Spending) และรวมถึงงบประมาณที่จะใช้ในโครงการยอดนิยมต่างๆ เช่น ประกันสังคม (Social Security) และ Medicare พร้อมระบุว่า มัสก์ไม่สามารถแตะต้องเงินประกันสังคมของประชาชน หรือเงินเกษียณอายุของทหารผ่านศึก หรือเงินชดเชย Medicare ของประชาชนได้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือได้รับความเห็นชอบทางกฎหมาย ซึ่งพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะตราหรือแก้ไขกฎหมายใดๆ เหล่านั้น

 

ทรัมป์ยืนยันว่า มัสก์และ DOGE จะไม่แตะต้องงบที่เกี่ยวข้องกับประกันสังคม ขณะที่มัสก์เองก็คาดการณ์ว่า ความพยายามของเขาในการลดงบประมาณภาครัฐของสหรัฐฯ อาจไม่บรรลุเป้าหมายที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังเชื่อมั่นว่ามัสก์และหน่วยงานนี้จะมีส่วนช่วยทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ดูอุ้ยอ้ายมีความกระฉับกระเฉงขึ้น ใช้ทุนในมิติต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามแนวทาง America First เพื่อผลักดันให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

แฟ้มภาพ: Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising