เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (2 ตุลาคม) มีข่าวร้ายที่ไม่มีใครอยากได้ยินเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุการณ์ ‘เหยียบกันตาย’ ของแฟนฟุตบอลในประเทศอินโดนีเซีย ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 125 คน และบาดเจ็บอีกกว่า 180 คน
โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่สนามกันจูรูฮัน เมืองมาลัง ในเกมฟุตบอลลีกของประเทศอินโดนีเซีย คู่ระหว่างอารีมา เอฟซี ซึ่งเป็นเจ้าบ้านต้อนรับการมาเยือนของเปอร์เซบายา สุราบายา ที่ทำการแข่งขันในช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น โดยเป็นเหตุความวุ่นวายในช่วงหลังจากจบการแข่งขันที่เปอร์เซบายาบุกมาคว้าชัยชนะได้ 3-2
จากภาพที่มีการบันทึกไว้และมีการเผยแพร่ออกมา จะเห็นแฟนฟุตบอลกรูลงไปในสนามจำนวนมาก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามที่จะเข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้กระบองตี และมีการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมในสนามที่เลวร้ายที่สุดอีกครั้งของโลก
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ใน ‘คืนมืดที่มาลัง’?
บันทึกฉบับที่ 1: ไอ้ฆาตกร!
จากรายงานข่าวด่วนที่สำนักข่าวต่างๆ รายงาน ทำให้โลกได้รับรู้ว่าเกิดเหตุโศกนาฏกรรมอีกครั้งที่ประเทศอินโดนีเซีย
สิ่งที่เรารู้ในเบื้องต้นคือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจบเกมระหว่างอารีมา เอฟซี ที่พบกับเปอร์เซบายา สุราบายา ซึ่งทั้งสองทีมนี้เป็นคู่อริกัน โดยเหตุการณ์ลุกลามจากการที่แฟนฟุตบอลได้กรูกันลงไปในสนาม ก่อนที่จะมีการเข้าควบคุมสถานการณ์โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
โดยเจ้าหน้าที่มีการใช้กระบองและแก๊สน้ำตาจนเป็นเหตุให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย และเกิดการเหยียบกันตายของแฟนฟุตบอลจำนวนมาก ซึ่งเสียชีวิตโดยขาดอากาศหายใจ
รายงานเบื้องต้นระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตจำนวนมากกว่า 120 คน และผู้บาดเจ็บอีกกว่า 180 คน
ชาวอินโดนีเซียที่ได้รับรู้เรื่องราวในช่วงเช้าวันอาทิตย์ต่างร่วมกันประณามเจ้าหน้าที่ด้วยคำว่า ‘Pemnunuh’ หรือ ‘ฆาตกร’ ที่กลายเป็นเทรนด์บนทวิตเตอร์ มีการทวีตมากกว่า 11,500 ข้อความ เช่นเดียวกับคำว่า ‘Tear Gas’ หรือแก๊สน้ำตา และ ‘PrayForKanjuruhan’ ซึ่งมาจากชื่อของสนามกีฬาที่เกิดเหตุสลดขึ้นที่ติดเทรนด์เช่นกัน
หนึ่งในผู้ใช้ทวิตเตอร์อ้างว่าหลาน 3 คนเสียชีวิตในสนาม “ใครก็ตามที่เป็นคนยิงแก๊สน้ำตาเมื่อคืนนี้ แกมันคือไอ้ฆาตกร”
ขณะที่หนึ่งในผู้สูญเสียอย่าง บัมบัง ซิสวันโต ที่พาภรรยาและลูกชายรวมถึงหลานชายไปชมเกมด้วยรวม 4 คน แต่สุดท้ายกลับมาพร้อมลมหายใจได้แค่ 3 คน
“ผมพาลูกชายกลับมาบ้านพร้อมกับศพหลานของผม พวกเขาโหดเหี้ยมมาก เจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนี้โหดเหี้ยมเกินไป”
ขณะที่ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ออกแถลงต่อประชาชนชาวอินโดนีเซีย “ผมขอแสดงความเสียใจต่อโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และผมหวังว่ามันจะเป็นโศกนาฏกรรมครั้งสุดท้ายของประเทศนี้”
สำหรับลีกฟุตบอลพักการแข่งขันทันที และแบนห้ามไม่ให้แฟนบอลอารีมาเข้าสนามอีกในฤดูกาลนี้
บันทึกฉบับที่ 2: คำบอกเล่าของพยานผู้เห็นเหตุการณ์
หนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และเห็นทุกอย่างเป็นอย่างดีคือ โจชัว ที่เดินทางไปชมเกมการแข่งขันนัดนี้พร้อมกับภรรยาและเพื่อนอีก 13 คน ซึ่งทุกคนเป็นแฟนของทีมอารีมา
ทีมอารีมา เอฟซี นั้นเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่าแก่ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1987 เป็น 1 ใน 3 สโมสรของอินโดนีเซียที่เคยผ่านเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลเอเอฟซีคัพ ซึ่งคู่ปรับในสนามของพวกเขาก็คือผู้มาเยือนในเกมนี้อย่างเปอร์เซบายา สุราบายา
เกมนี้ถูกขนานนามว่าเป็นเกม ‘Derby Jatim’ หรือดาร์บีแมตช์แห่งชวาตะวันออก ซึ่งสำหรับชาวอินโดนีเซียแล้วเป็น 1 ใน 2 ดาร์บีแมตช์ที่ดุเดือดเลือดพล่านที่สุด (อีกแมตช์คือเปอร์ซิบกับเปอร์ซิยา ที่เรียกกันว่า Laga Klasik) ไม่ต่างอะไรจากเกมดาร์บีแมตช์ของชาวตะวันตกเลยแม้แต่น้อย
ก่อนหน้าจะลงสนามในเกมนี้ อารีมา เอฟซี ทำผลงานได้ไม่ดีนัก โดยอยู่ในอันดับที่ 9 และที่สำคัญคือแพ้เกมในบ้านมาแล้ว 2 นัดติดต่อกัน ต่อเปอร์ซิยา จาการ์ตา และเปอร์ซิบ บันดุง ทำให้นัดนี้แฟนบอลของอารีมาหมายมั่นปั้นมือว่าทีมรักจะกำราบคู่ปรับตลอดกาลให้จงได้
นั่นทำให้กระแสก่อนเกมร้อนแรงอย่างยิ่ง ตั๋วเข้าชมการแข่งขันถูกจำหน่ายหมด 42,000 ที่นั่ง (ตามข้อมูลจาก footballindonesia) โดยที่มีการเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า เพื่อการป้องกันเหตุอันตรายจึงไม่มีการจำหน่ายตั๋วให้แฟนบอลทีมเยือนแต่อย่างใด (และนั่นทำให้ไม่ใช่เหตุแฟนบอลตีกัน)
ผลปรากฏว่าอารีมาแพ้ในเกมนี้ เป็นการแพ้ในบ้าน 3 นัดติดต่อกัน และเป็นครั้งแรกนับจากปี 2019 ที่พ่ายต่อคู่ปรับตลอดกาลอย่างเปอร์เซบายาด้วย
ความพ่ายแพ้ทำให้แฟนฟุตบอลในสนามไม่พอใจทีมอย่างรุนแรง โดยหลังจบเกมผู้เล่นและฝ่ายจัดการทีมอยู่ในสนามเพื่อขอโทษต่อความพ่ายแพ้
ตรงนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม โดยโจชัวเปิดเผยว่า มีแฟนฟุตบอลที่เดือดดาล 2-3 คนลงมาในสนาม ขณะที่บนอัฒจันทร์ก็มีการด่าทออย่างรุนแรง ทำให้ทางด้านเจ้าหน้าที่พยายามที่จะผลักดันแฟนบอลที่กำลังบุกลงมาในสนามให้กลับขึ้นไปเพื่อความปลอดภัย
แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ แฟนฟุตบอลกลับยิ่งลงมาในสนามมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในสนามอย่างมาก ขณะที่ผู้เล่นของทีมเปอร์เซบายารีบกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว ทางด้านนักเตะของอารีมาไม่ได้กลับเข้าไป และมีผู้เล่นบางคนที่มีรายงานว่าถูกทำร้าย
สถานการณ์เริ่มลุกลามควบคุมไม่ได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสนามตัดสินใจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่แฟนบอลในสนาม โดยเริ่มยิงนัดแรกในช่วงเวลาประมาณ 22.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น และมีการยิงต่อเนื่องไปอีกราว 30 นาที
แฟนบอลจำนวนมากพยายามจะออกจากสนามแต่ไม่สามารถออกได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ปิดกั้นทางออกไว้เพราะภายนอกสนามก็มีเหตุการณ์ปะทะกัน ระหว่างแฟนบอลที่โกรธแค้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้านนอก
ในช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เริ่มยิงแก๊สน้ำตาขึ้นมาบนอัฒจันทร์ และทำให้แฟนฟุตบอลหลายร้อยคนพยายามรีบไปยังทางออก
โจชัว ภรรยา และเพื่อนทั้งหมด 13 คนอยู่บนที่นั่งวีไอพี แม้จะไม่โดนโดยตรงแต่ควันของแก๊สน้ำตาทำให้หายใจลำบาก และการยิงแก๊สน้ำตาไม่หยุดยิ่งทำให้เหตุการณ์ทุกอย่างโกลาหลขึ้นกว่าเดิม แฟนฟุตบอลหลายคนต้องปีนรั้วสนามที่สูงกว่า 5 เมตรเพื่อหนีฝูงชนที่กำลังแตกตื่น
แก๊สน้ำตาทำให้หายใจลำบาก ขณะที่แฟนบอลไม่มีน้ำที่จะช่วยล้างได้เพราะมีการห้ามนำเครื่องดื่มเข้าสนาม ความโกลาหลทำให้ทุกคนพยายามหนีเอาชีวิตรอด และนั่นคือที่มาของโศกนาฏกรรม
แฟนฟุตบอลที่เสียชีวิตส่วนใหญ่คือแฟนฟุตบอลที่อยู่บนอัฒจันทร์ ที่เป็นเหยื่อของการเหยียบกันตายจนขาดอากาศหายใจ
เวลาราวเที่ยงคืน โจชัวถึงสามารถพาตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนกลับออกจากสนามได้ โดยสิ่งที่เขาเห็นนอกจากร่างจำนวนมากที่นอนบนอัฒจันทร์แล้ว ยังเห็นเศษแก้วแตกกระจายเกลื่อนสนาม รวมถึงมีรถที่ถูกเผาด้วย
แต่สิ่งที่เป็นของที่ระลึกจากนรกที่เขาไม่ต้องการได้เลย คือความทรงจำและภาพที่เขาไม่สามารถลบมันได้
“เมื่อผมหลับตา ผมยังได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลืออยู่ มันยังดังก้องในหูของผม ผมไม่อยากจะเป็นแฟนบอลอีกแล้ว ผมจะไม่ไปดูฟุตบอลในอินโดนีเซียอีก ผมหวังว่าจะยกเลิกการแข่งฟุตบอลในอินโดนีเซียไปเลย”
บันทึกฉบับที่ 3: เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุ
ซูซี ราฮายู ช่างภาพสาวที่ลงไปทำหน้าที่อยู่ขอบสนามเป็นอีกคนที่เห็นเหตุการณ์ และเธอยืนยันว่าทุกอย่างมาจากการกระทำที่เกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่
“การใช้แก๊สน้ำตามันเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ” ซูซีเปิดเผยต่อ The New York Times “มีคนเป็นลมจำนวนมาก ถ้าไม่ได้มีการใช้แก๊สน้ำตามันก็จะไม่เป็นการจลาจลแบบนี้”
ทางด้าน Legal Aid Foundation องค์กรในประเทศอินโดนีเซีย ได้กล่าวประณามการกระทำครั้งนี้ว่า “การบังคับใช้อำนาจเกินขอบเขตด้วยการใช้แก๊สน้ำตาและการควบคุมฝูงชนที่ผิดหลักการ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก”
ทั้งนี้ มีการระบุว่าในระเบียบการรักษาความปลอดภัยของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ระบุเอาไว้ว่าห้ามใช้แก๊สน้ำตาในการควบคุมสถานการณ์อย่างเด็ดขาด
“การใช้แก๊สน้ำตานั้นไม่เป็นไปตามขั้นตอนปฏิบัติในการควบคุมฝูงชน และทำให้แฟนบอลบนอัฒจันทร์ต้องหนีไปยังประตูทางออก ส่งผลให้พวกเขาขาดอากาศหายใจ เป็นลม และถูกผู้อื่นเหยียบ”
ขณะที่ทางด้าน จานนี อินฟานติโน ประธานฟีฟ่า ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อครอบครัวและเพื่อนของผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมครั้งนี้ เช่นเดียวกับเหล่าครอบครัวในโลกของฟุตบอลที่ร่วมแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ร่วมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งคือลิเวอร์พูล ทีมฟุตบอลดังจากอังกฤษที่เคยเกิดเหตุโศกนาฏกรรมในสนามฮิลส์โบโรห์ ในเกมฟุตบอลเอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ ที่พบกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เมื่อวันที่ 15 เมษายน 1989 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวมถึง 97 รายด้วยกัน
โดยที่สาเหตุมาจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และการขาดแผนการรักษาความปลอดภัยของแฟนบอลที่ดี ซึ่งยังมีการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมอยู่จนถึงทุกวันนี้
บันทึกฉบับที่ 4: แก๊สน้ำตา
ในอีกด้านทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกสังคมตัดสินว่าเป็นผู้ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้พยายามชี้แจงต่อขั้นตอนการปฏิบัติในการควบคุมสถานการณ์ด้วยการใช้แก๊สน้ำตา
เหตุผลเดียวที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำแบบนี้ เพราะแฟนฟุตบอลนั้นเริ่มทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำลายรถของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสนาม
“เราได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างก่อนที่จะใช้แก๊สน้ำตา เพราะพวกเขากำลังจะทำร้ายเจ้าหน้าที่และทำให้รถเสียหาย” นิโค อาฟินตา สารวัตรตำรวจชวาตะวันออก กล่าวในการแถลงสรุปสถานการณ์ พร้อมเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญว่าเกมการแข่งขันนัดนี้มีการจำหน่ายตั๋วเข้าชมเกินความจุของสนาม
ตัวแทนฝ่ายตำรวจระบุว่าสนามแห่งนี้มีความจุแค่ 38,000 ที่นั่ง แต่มีการจำหน่ายตั๋วถึง 42,000 ที่นั่ง และไม่มีแฟนฟุตบอลที่เสียชีวิตจากการถูกฟาดด้วยกระบองของเจ้าหน้าที่ หรือถูกปฏิบัติอย่างรุนแรง แต่เสียชีวิตจากการเหยียบกันตาย
และฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็เสียชีวิตด้วย 2 ราย
ขณะที่จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้นในช่วงแรกยังคลาดเคลื่อน มีทั้งขยับเพิ่มสูงขึ้นและลดลง แต่ตามรายงานในเวลานี้ ตัวเลขปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 125 รายด้วยกัน
สำหรับการใช้แก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจได้กล่าวโจมตีการตัดสินใจว่า เป็นการเลือกวิธีที่อันตรายในการควบคุมฝูงชนที่อยู่ในพื้นที่ปิดอย่างสนามฟุตบอลที่ไม่มีทางออกที่เปิดโล่ง
บันทึกฉบับที่ 5: สมุดโน้ตแห่งความตายที่ไม่มีใครเปิดอ่าน
สิ่งที่น่าเศร้าคือนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมในสนามฟุตบอลหรือสนามกีฬาเพราะการใช้แก๊สน้ำตา
ย้อนกลับไปในปี 2001 ที่ประเทศกานา เกิดเหตุโศกนาฏกรรมคล้ายกันกับที่มาลัง ในเกมระหว่างคูมาซี อาซานเต โคโตโก พบกับฮาร์ตส์ ออฟ โอ๊ก ทีมคู่ปรับ
โดยแฟนบอลของทีมคูมาซีไม่พอใจกับผลงานของทีมและได้ขว้างปาสิ่งของลงมา จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงใส่แฟนบอลบนอัฒจันทร์เพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการหนีเอาตัวรอด สุดท้ายเหยียบกันตายจนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 126 คนด้วยกัน
ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นในปี 1964 ที่ประเทศเปรู เกิดโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในเกมฟุตบอลโอลิมปิกรอบคัดเลือก ระหว่างเปรูกับอาร์เจนตินา
ในเกมนั้นเกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อผู้ตัดสินปฏิเสธจะให้ประตูตีเสมอแก่เปรูในช่วงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน ทำให้มีแฟนบอลกรูลงมาในสนามเอสตาดิโอ นาซิอองนาล และขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้ตำรวจพยายามควบคุมสถานการณ์ด้วยการปาระเบิดแก๊สน้ำตาไปยังฝูงชนที่อยู่บนอัฒจันทร์ที่ถูกปิดตาย
แฟนฟุตบอลต่างพากันหนีเอาชีวิตรอด แต่มีคนที่พลาดล้มและถูกเหยียบตายในอุโมงค์สนามเป็นจำนวนมาก ไม่นับที่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 คน และบาดเจ็บเกินกว่า 500 คนเลยทีเดียว
บันทึกฉบับที่ 6: ความตายที่มิอาจหลีกเลี่ยง
ในความเห็นของผู้ที่คลุกคลีและเห็นมามากเกี่ยวกับวงการฟุตบอลในประเทศอินโดนีเซียอย่าง เจมส์ มอนทาก ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมของแฟนฟุตบอลซึ่งเคยเขียนหนังสือ ‘1312: Among the Ultras’ มองว่าโศกนาฏกรรมที่มาลังไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ
มันเป็นสิ่งที่พร้อมจะเกิดขึ้นเสมอในอินโดนีเซีย แค่รอเวลาเท่านั้น
“การจัดการที่เลวร้าย สิ่งอำนวยความสะดวกที่เลวร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เลวร้าย และวัฒนธรรมความรุนแรงของแฟนฟุตบอลบางกลุ่ม ทั้งหมดนี้มันคือหายนะที่รอวันจะเกิดเท่านั้น”
ประเทศอินโดนีเซียมีจำนวนประชากรมากกว่า 275 ล้านคน และกีฬาฟุตบอลคือกีฬายอดนิยมอันดับ 2 พลังในการเชียร์และสีสันของพวกเขาไม่เป็นสองรองใครก็จริง แต่ชื่อเสียงของฟุตบอลประเทศนี้กลับเป็นชื่อเสียอย่างในเรื่องของความรุนแรงมากกว่า
“มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ปกติ เพราะมันเกิดขึ้นบ่อยมาก” มอนทากให้สัมภาษณ์ต่อ DW สำนักข่าวจากเยอรมนี “เราจะได้เห็นรถโค้ชของนักฟุตบอลถูกแฟนบอลโจมตีบ่อยๆ เวลาที่ผลงานย่ำแย่”
อีกด้านหนึ่งมอนทากเองคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีส่วนอย่างมาก เพราะจากประสบการณ์ที่เคยพบมา ตำรวจนั้นปฏิบัติต่อแฟนบอลอย่างเลวร้าย ขาดทักษะรวมถึงเครื่องมือในการควบคุมฝูงชน ทำให้นิยมใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมสถานการณ์
ข้อมูลที่น่าตกใจคือตั้งแต่ปี 1994-2019 มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องจากเหตุในเกมฟุตบอลมากถึง 74 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมฟุตบอลที่เล่นกันถึงชีวิตของชาวอินโดนีเซีย
ในปี 2018 ลีกฟุตบอลอินโดนีเซียต้องเคยหยุดพักการแข่งขันจากการเสียชีวิตของ ฮาริงกา ซิริลา แฟนบอลของเปอร์ซิยาที่ถูกแฟนบอลคู่อริเปอร์ซิบ บันดุง รุมทำร้ายจนถึงแก่ความตาย
2 ปีก่อนหน้านั้น แฟนบอลของเปอร์ซิบอย่าง มูฮัมหมัด โรวิ อาร์ราห์มาน ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันด้วยแฟนบอลในเมืองจาการ์ตา
ตำรวจก็เคยทำร้ายแฟนบอลจนถึงแก่ความตายด้วยเช่นกันในปี 2016 เมื่อ มูฮัมหมัด ฟาห์รีซา แฟนบอลวัย 16 ปี เสียชีวิตจากการถูกตำรวจตีในเกมระหว่างเปอร์ซิยา กับเปอร์เซลา ลามังกัน
ขณะที่สนามแข่งขันเองก็เก่า ล้าสมัย ไม่เพียงแต่ไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้ แต่ยังขาดการจัดการดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยให้แก่แฟนฟุตบอลด้วย
กล่าวได้ว่ามีครบทุกองค์ประกอบที่จะทำให้การไปเชียร์ฟุตบอลในสนามที่อินโดนีเซียอันตรายถึงชีวิต
บันทึกฉบับที่ 7: การค้นหาความจริงและสิ่งที่ต้องทำ
ทางการอินโดนีเซียได้จัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ทั้งหมด โดยคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นราว 2 สัปดาห์ด้วยกัน
สิ่งที่ทางการจะตัดสินใจขั้นต่อไปคือมีการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมีการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ญาติของผู้สูญเสียจะได้รับเงินชดเชย
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ประเทศอินโดนีเซียจะต้องทำ คือการศึกษาบทเรียนที่แลกมาด้วยชีวิตของแฟนฟุตบอลมากกว่า 125 คน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำอีก ซึ่งอาจหมายถึงการสร้างสนามใหม่ขึ้นทดแทนสนามเก่าที่ล้าสมัยและขาดการดูแล
มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่อินโดนีเซียต้องจัดการหลังจากนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ความกระจ่างของคนในประเทศ แต่ยังรวมถึงความมั่นใจจากนานาประเทศด้วย ในฐานะที่พวกเขากำลังจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ในปี 2023 (20 พฤษภาคม – 11 มิถุนายน) ซึ่งอินโดนีเซียในฐานะเจ้าภาพได้สิทธิ์เข้าร่วมแข่งขันโดยอัตโนมัติ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องรอติดตาม แต่สิ่งที่แน่นอนคือคืนมืดที่มาลังนั้น จะเป็นฝันร้ายที่หลอกหลอนชาวอินโดนีเซียไปอีกแสนนาน
กับความหวังว่าบทเรียนที่แลกมาด้วยชีวิตผู้คนนับร้อยครั้งนี้ จะทำให้เรื่องเลวร้ายทั้งหมดยุติได้จริงๆ สักที
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/10/02/football/indonesia-stadium-tragedy-football-reaction-spt-intl/index.html
- https://www.nytimes.com/live/2022/10/02/world/indonesia-soccer-football-stadium#survivor-stories-indonesia-stadium
- https://www.nytimes.com/live/2022/10/03/world/indonesia-soccer-football-stadium?smid=nytcore-ios-share&referringSource=articleShare
- https://www.fifa.com/about-fifa/president/news/fifa-president-statement-on-the-stadium-tragedy-in-indonesia
- https://www.theguardian.com/world/2022/oct/03/indonesia-football-tragedy-questions-mount-over-police-response
- https://www.theguardian.com/football/2022/oct/02/indonesia-has-a-huge-passion-for-football-but-is-no-stranger-to-tragedy
- https://www.dw.com/en/indonesian-football-tragedy-was-an-accident-waiting-to-happen-experts/a-63315015
- https://www.reuters.com/world/asia-pacific/violence-mismanagement-plague-volatile-indonesian-scene-2022-10-02/