ชื่อของ ปูอัด-ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส. กรุงเทพมหานคร พรรคไทยก้าวหน้า ตกเป็นข่าวในคดีล่วงละเมิดทางเพศอยู่บนหน้าสื่ออีกครั้ง
เมื่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ออกหมายจับในคดีความผิดข่มขืนกระทำชำเรานักท่องเที่ยวหญิงสัญชาติไต้หวันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ และเข้าแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568
‘ไชยามพวาน’ เป็นอดีต สส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ถูกขับออกจากพรรคด้วยมติเอกฉันท์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 เนื่องจากมีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ โดยมีผู้เสียหาย 3 รายด้วยกัน ปัจจุบันเป็น สส. หนึ่งเดียวของพรรคไทยก้าวหน้า
THE STANDARD สนทนากับ ‘หนึ่งในผู้เสียหาย’ อดีตผู้ช่วยส่วนตัว ผู้ถูกผู้ล่วงละเมิดทางเพศเมื่อปี 2566 ร่วมเปิดใจในวันที่ ‘ไชยามพวาน’ ตกเป็นจำเลยในคดีล่วงละเมิดทางเพศอีกครั้ง
ผู้เสียหายรายนี้กล่าวเริ่มต้นบทสนทนาว่า “รู้สึกดีใจ และขอบคุณผู้หญิงคนนั้น (ผู้เสียหายนักท่องเที่ยวสัญชาติไต้หวัน) ที่ทำทุกอย่างที่เราไม่เคยกล้าทำ”
ปัจจุบันผู้เสียหายรายนี้อายุ 22 ปี กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของไทย ยอมรับกับ THE STANDARD ว่าผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศทั้ง 3 กรณีเมื่อปี 2566 ที่กล่าวข้างต้นนั้นล้วนเป็นคนในทีมของไชยามพวานทั้งสิ้น โดยแต่ละคนไม่ทราบว่าเขามีพฤติกรรมทางเพศในลักษณะนี้ ตอนนั้นทุกคนมองเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง จึงช่วยงานเต็มที่
เธอเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นที่ได้เข้าไปร่วมงานกับไชยามพวานว่า เริ่มขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ขณะนั้นอายุ 18 ปี ไปร่วมงานงานหนึ่งที่ The Jam Factory และได้พบกับ สส. กรุงเทพมหานคร คนหนึ่ง จึงเข้าไปแนะนำตัวเองว่ากำลังจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และสนใจประเด็นการเมือง สส. คนดังกล่าวจึงแนะนำว่าผู้สมัครเขตจอมทองกำลังหาผู้ช่วยทำพื้นที่ หากสนใจร่วมทีมจะช่วยรีเฟอร์ให้
เธอจึงตอบตกลงและเข้าสัมภาษณ์ โดยเข้าช่วยงานมาตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้ง สก. เรื่อยมาจนถึงช่วงก่อนเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เนื่องจากต้องทำพื้นที่หนักขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำสำรวจประชากร สำรวจนโยบาย จึงทำให้การทำงานเริ่มมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
เธอเล่าถึงเหตุล่วงละเมิดทางเพศว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2566 ซึ่งตรงกับวันที่พรรคก้าวไกลเปิดตัวผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร ทั้ง 32 เขต ที่สามย่านมิตรทาวน์ เธอออกตัวว่าขณะนั้นตนเองอายุ 20 ปี เริ่มเที่ยวสถานบันเทิงต่างๆ กับแก๊งเพื่อน ซึ่งบางครั้งมีไชยามพวานไปด้วย แต่ขณะนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีว่าสนใจหรือมองเราแปลกไป
หลังเสร็จภารกิจในวันที่ 12 มีนาคม เธอชวนเขา พร้อมกับ สส. กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้หญิง รวมถึงเพื่อนๆ คนอื่นไปฉลองที่ถนนข้าวสาร แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานัดกลับไม่เห็นใครเลย มีแค่ไชยามพวานเพียงคนเดียว โดยที่เธอขอให้เขาโทรศัพท์ไปตามเพื่อนคนอื่นๆ แต่เขาก็พยายามบ่ายเบี่ยง
“ตอนเราคิดในใจว่าไม่โทรก็ไม่โทร เมื่อมาเที่ยวแล้วก็ปล่อยจอย และยอมรับว่าวันนั้นเราก็เมาแบบไร้สติจนกลับบ้านเองไม่ได้ และเขาอาสาจะเรียกรถให้ ด้วยความที่เรายังเด็กและที่พักเขากับบ้านเราอยู่เขตเดียวกัน ไม่ได้ไกลกันมากนัก หากกลับด้วยกันเราคิดว่าจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถ เขาบอกว่าจะดรอปตัวเองที่คอนโด และให้รถไปดรอปเราที่บ้าน” เธอเล่ารายละเอียด
แต่ปรากฏว่าเขาเรียกรถให้ไปส่งที่คอนโดตัวเองอย่างเดียว โดยไม่ได้ให้รถไปส่งเราต่อ ขณะนั้นเราเองเมาและรู้สึกปวดปัสสาวะ รวมถึงมีอาการเวียนหัว อยากอาเจียน และอยากเข้าห้องน้ำ จึงขอเข้าห้องน้ำใต้คอนโด แต่ปรากฏว่าใต้คอนโดไม่มีห้องน้ำ จึงจำใจต้องขึ้นห้องเขาไป
เมื่อเข้าไปในห้องเขาแล้วเขาขอเข้าห้องน้ำก่อนและให้เรารอที่โซฟา ขณะนั้นเรารอในสภาพที่กึ่งหลับ เมื่อเขาออกมาจากห้องน้ำก็ไม่ให้เราเข้าห้องน้ำ จากนั้นพยายามพาเราขณะเมาอย่างไร้สติไปที่เตียงและโน้มน้าวให้เรามีเพศสัมพันธ์ด้วย
“ตอนเกิดเรื่องเราเองไม่ได้มีสติสัมปชัญญะใดๆ ทั้งสิ้น เราเคยผ่ากระดูกสันหลังมา ทำให้กล้ามเนื้อฝั่งซ้ายอ่อนแรงกว่าปกติ ทำให้ไม่สามารถขัดขืนได้ เมื่อกระทำเราเสร็จสิ้น เขาก็มาส่งเราที่ด้านล่างและให้เราเรียกรถกลับบ้านเอง”
ตื่นเช้ามาด้วยความที่เรายังเด็กและยังไม่ตระหนักว่าตนเองเจอการ Gaslight และ Manipulate รวมถึงการใช้ Power Dynamic ก็ไปทำงานตามปกติ โดยคิดว่าเราแค่เมาและพลาดไปมีเพศสัมพันธ์กับเขา พยายามไม่ใส่ใจ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะมีการเลือกตั้งใหญ่ เพราะนี่ก็คือศักดิ์ศรีของชีวิตเราที่ต้องการส่งให้เขาไปเป็น สส. ในนามพรรคก้าวไกล เพื่อให้พรรคชนะการเลือกตั้งให้ได้ จึงปล่อยไปเลยตามเลย
ทั้งนี้ ตลอดช่วงก่อนการเลือกตั้งจนถึงหลังเลือกตั้งเขาพยายามชักชวนเราขึ้นห้องเพื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วยเสมอ และเราก็เริ่มตกผลึกกับตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้นไม่ใช่เรื่องที่เรายินยอม หรือเวลาที่อยู่ด้วยกันดึกๆ สองต่อสองระหว่างการทำสคริปต์ของการปราศรัย เขาก็จะดึงไปกอดและร้องขอมีเพศสัมพันธ์ แต่เราอ้างว่าเป็นประจำเดือนเพื่อเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้ หลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งนั้นเราได้ไปตรวจโรคที่คลินิกนิรนามแห่งหนึ่ง พบว่าติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นโรคที่มาจากเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งโรคนี้ทำให้ระบบสืบพันธุ์อักเสบ จากนั้นต้องพบแพทย์อยู่พักใหญ่และใช้เวลารักษาระยะหนึ่ง เป็นโรคที่ทรมาน เนื่องจากมีความรู้สึกอักเสบ ส่วนตัวที่มีสุขภาพไม่ดีอยู่แล้วจึงทำให้มีอาการป่วยหนักไปด้วย
หลังจบการเลือกตั้งเราก็กลับไปเรียน ไปพักผ่อนที่ต่างประเทศ และห่างหายไปจากเขา แต่ก็ยังเห็นจากสตอรีไอจีของเพื่อนในทีมคนหนึ่งที่มีความสนิทสนมกับไชยามพวาน และเราได้พูดคุยกับเพื่อนในทีมจนทราบว่าช่วงที่เราไม่อยู่ “คุณปูอัดเจ้าชู้มาก แอบไปมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับประชาชนในเขตด้วย”
จากนั้นเพื่อนในทีมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายที่ 2 พูดขึ้นมาว่าเขากำลังจะเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่กับไชยามพวาน โดยจะเดินทางสายการบินและไฟลต์เดียวกัน รวมถึงนอนโรงแรมเดียวกัน ตอนที่กดจองห้องพักก็รู้สึกกลัวไชยามพวานเช่นกัน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเราจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2566 ให้เพื่อนในทีมฟัง ซึ่งทุกคนตกใจ และมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความยินยอม แต่เป็นการ ‘ข่มขืน’
จากนั้นพี่ๆ ที่สนิทซึ่งเป็นผู้ช่วยในพรรคได้เข้ามาปลอบ พร้อมติดต่อทนายแจม (ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กรุงเทพมหานคร) ซึ่งเป็นคณะกรรมการวินัยของพรรคก้าวไกล จากนั้นอีกประมาณ 2 สัปดาห์ เรื่องก็สู่กระบวนของคณะกรรมการวินัยของพรรค ก่อนที่เรื่องจะแดงถึงหูสื่อมวลชน
เมื่อทนายแจมรู้ คณะกรรมการวินัยรู้ และเจ้าตัวก็เริ่มรู้ว่ากำลังจะถูกคณะกรรมการวินัยของพรรคเรียกตัว คนในทีมก็ทยอยลาออกเกือบหมด ในช่วงนั้นเขาโทรหาเราทุกวัน
มีอยู่วันหนึ่งเขาโทรมาร้องไห้โดยอ้างว่าได้ไปเยี่ยมเพื่อน สส. กรุงเทพมหานคร คนหนึ่งซึ่งป่วยหนักที่โรงพยาบาล เห็นแล้วเขารู้สึกคิดถึงเรา เพราะเขาทราบดีว่าเราสุขภาพไม่ค่อยดี อยากให้เราหาย มีสุขภาพดี และกลับมาทำงานกับเขา เพราะเชื่อว่าเราทั้งสองคนต่างมีความฝันที่จะร่วมสนับสนุนและสร้างสิ่งดีๆ ให้กับประชาชน เขาโน้มน้าวให้เรากลับไปทำงานด้วย เพื่อให้ถอดเรื่องออกจากคณะกรรมการวินัย ขณะนั้นไชยามพวานลงสตอรีไอจีเชิงจะฆ่าตัวตายอีกด้วย
ก่อนที่พรรคจะมีมติขับออก เราเองก็ยังเข้ารัฐสภาเพื่อไปพบทนายแจม ขณะที่เขาก็ยังโทรหาเราอยู่ตลอด เมื่อรู้ว่าเราอยู่จุดไหนก็จะเดินหาทันที
“เรารู้สึกถึงการคุกคามและความไม่ปลอดภัย” ผู้เสียหายรายนี้บอกกับ THE STANDARD
วันที่ร้ายแรงที่สุดคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เขาแถลงต่อหน้าสื่อมวลชนครั้งแรก ก่อนที่พรรคก้าวไกล (ต้นสังกัดขณะนั้น) จะมีการประชุมเพื่อขับออกจากสมาชิกพรรคว่าสูทและเนกไทที่เขาสวมใส่วันนี้เป็นของพ่อเรา โดยบอกกับสื่อมวลชนว่า ‘เรา’ และ ‘เขา’ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ในกรณีนี้ผู้เสียหายวัย 22 ปีขอชี้แจงผ่าน THE STANDARD ว่าไชยามพวานบอกว่าบ้านของเขายากจน ไม่มีเงินไปตัดสูทใหม่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในสภา และพ่อของเธอมีสูทจำนวนมาก เนื่องจากเคยเป็นผู้จัดการในโรงแรมมาก่อน จึงได้นำสูทของพ่อที่ปัจจุบันเปลี่ยนสายงานแล้วมาให้เขาใส่
THE STANDARD ถามย้ำว่า “ขออนุญาตถามตรงๆ ว่าผู้เสียหายไม่ได้มีความรู้สึกในเชิงชู้สาวกับไชยามพวานใช่หรือไม่”
ผู้เสียหายวัย 22 ปี ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่ได้คิดเช่นนั้น มองไชยามพวานเป็นพี่ชายและเป็นหัวหน้างานเท่านั้น ขณะเดียวกัน การส่งต่อชุดสูทของคนที่บ้านที่ไม่ได้ใช้งานแล้วไม่น่าจะใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะเด็กคนหนึ่งได้รับโอกาสทำงานการเมืองก็อยากตั้งใจและเรียนรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด และฝันอยากเปลี่ยนแปลงประเทศเท่านั้น ไม่มีเรื่องชู้สาว
แต่เมื่อให้ไปแล้วเขากลับนำสิ่งนี้ไปยืนยันต่อหน้าสื่อว่าเรากับเขามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว เราเติบโตมาจากโรงเรียนที่มีสังคมและวัฒนธรรมแบบตะวันตก การโดนตัวหรือจับไหล่กันบ้างนั้นถือเป็นเรื่องปกติ และเราไม่ได้คิดอะไรเช่นนั้น แต่ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคิดอะไรหรือไม่
“หลังจากทราบว่าขับพ้นพรรคไม่สำเร็จ เราเครียดมาก เครียดเหมือนจะตาย ณ เวลานั้นเรื่องนี้กระทบชีวิตมากๆ ทั้งเรื่องเรียน ที่ต้องดรอป เกรดร่วง ไม่สามารถโฟกัสการเรียนได้ และทะเลาะกับเพื่อนด้วย”
หลังคณะกรรมการวินัยไม่สามารถขับเขาออกจากพรรคได้ เราเองเหมือนคนเป็นบ้า เข้าไปหาแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เราเหมือนผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องแอดมิต แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในสังคมปกติ เครียดจนเพื่อนที่คณะเห็นอาการไม่ดี ทั้งจะทำร้ายตัวเองและคนรอบตัว จึงนำส่งโรงพยาบาล
ในช่วงนั้นยอมรับว่าผลการเรียนก็ไม่ดีนัก ขณะเดียวกันก็มีความเครียดกับการรับมือกับสื่อ ครอบครัวจึงส่งตัวไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัด ตัดขาดจากโซเชียลมีเดีย จนถึงวันที่เขาถูกขับออกพ้นพรรคจึงกลับมาใช้ชีวิตปกติ
THE STANDARD ถามต่อว่า “วันนี้ไชยามพวานต้องเผชิญคดีในลักษณะนี้อีกครั้ง มองกรณีนี้อย่างไร”
ผู้เสียหายวัย 22 ปี อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของไชยามพวาน ตอบคำถาม THE STANDARD ว่ายังมีกรณีที่มีลักษณะเดียวกันอีกจำนวนมาก กรณีที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวไต้หวันนั้นขอชื่นชมนักท่องเที่ยวรายนี้ว่ามีความกล้าต่อสู้ ซึ่งน่าเป็นกรณีที่ร้ายแรงมากกว่าเราด้วยซ้ำ เมื่อเขารู้ว่าตัวเองถูกกระทำก็รีบแจ้งความทันที ในกรณีของเราถือเป็นบทเรียนว่าหากกระบวนการยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพร้อมปกป้องผู้เสียหาย สังคมไม่คาดหวังว่าเหยื่อที่เป็น Perfect Victim เหยื่อที่อ่อนแอปวกเปียก คงสามารถ Avoid การกระทำซ้ำของคนคนนี้ได้
THE STANDARD ถามว่า “คาดหวังให้คดีล่วงละเมิดทางเพศของไชยามพวานจบอย่างไร”
ผู้เสียหายวัย 22 ปี ตอบว่า สิ่งแรกคือไชยามพวานต้องออกจากตำแหน่ง สส. เพราะเขาไม่สามารถเป็นผู้แทนของประชาชนได้ เขาไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้แทนราษฎร แค่เรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเขายังไม่เข้าใจ แล้วจะคาดหวังให้เขาเป็นผู้แทนของใครได้ ขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยรับการเยียวยาใดๆ จากผู้กระทำเลย สิ่งที่สองคือในฐานะประชาชน ไชยามพวานต้องได้รับโทษตามกฎหมาย กล่าวคือเขาต้องถูกจำคุก
“เราคาดหวังให้เขาออกจากวังวนนึกคิด Echo Chamber ของตัวเองว่าการกระแบบนี้ไม่ผิดและสำนึกให้หลอกหลอนเขาไปตลอดชีวิตว่าเขาพรากช่วงเวลาเติบโตของเด็กคนหนึ่งไปถึง 2 ปี” ผู้เสียหายวัย 22 ปี อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของไชยามพวาน สส. กรุงเทพมหานคร กล่าวทิ้งท้ายกับ THE STANDARD