การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่กำลังจะจัดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม ภายใต้แนวคิดหลัก “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน (Inclusivity and Sustainability)” ถูกจับตามองจากทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีหลายวาระสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียน แต่ยังมีผลกระทบไปยังทั่วโลก เช่นกรณีปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
สำหรับไทย ในการประชุมครั้งนี้ จะมุ่งเน้น 4 ประเด็นหลัก โดยย้ำการเป็นผู้เล่นที่มียุทธศาสตร์ในการผลักดันสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนา ได้แก่
1.การส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพ ผ่านการใช้กลไกที่มีอาเซียนมีบทบาทนำและสนับสนุน ASEAN Centrality
2.การสร้างภูมิภาคที่มั่นคงปลอดภัย ผ่านการสนับสนุนให้อาเซียนเป็นประชาคมที่ส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ผ่านการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนในระดับภูมิภาค
3.การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ผ่านการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างทั่วถึง
4.การเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน ผ่านการชูบทบาทไทยในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลักดันความร่วมมือทั้งภายในอาเซียน และกับภาคีภายนอก
ขณะที่การประชุมครั้งนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ติมอร์-เลสเต จะได้เข้าร่วมประชุมในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเต็มตัว ลำดับที่ 11 ทำให้อาเซียนขยายใหญ่มากขึ้น
และนี่คือวาระสำคัญต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้
ทรัมป์กับการกลับมาสู่เอเชีย: พยานดีลสันติภาพไทย-กัมพูชา
หนึ่งในภาพที่โลกคาดว่าจะได้เห็นในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 47 นี้ คือการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะร่วมเป็นพยานในพิธีลงนามข้อตกลงสันติภาพ ที่ใช้ชื่อว่า ‘คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา’
ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุม 4 ฝ่ายที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้แทนจากไทย กัมพูชา มาเลเซีย และสหรัฐฯ เข้าร่วม และเป็นความคืบหน้าที่ดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นิวยอร์ก
การที่ทรัมป์เลือกเดินทางมามาเลเซียเพื่อร่วมประชุมอาเซียนและเป็นพยานในข้อตกลงดังกล่าว ถูกมองว่าเป็น “สัญญาณการทูตเชิงสัญลักษณ์” ที่ทรัมป์ ต้องการฉายบทบาทประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ ท่ามกลางเป้าหมายในการคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากการมีส่วนยุติสงครามและความขัดแย้งต่างๆ ทั่วโลก
นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า ทรัมป์อาจมองการลงนามครั้งนี้เป็น “โมเมนต์ประวัติศาสตร์” ที่สามารถอ้างถึงได้ ในฐานะความสำเร็จทางการทูตของตน และในอีกแง่หนึ่ง ยังอาจเป็นการสื่อถึงความพร้อมกลับมามีบทบาทของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอาเซียนด้วย
สำหรับอาเซียนเอง การลงนามดีลสันติภาพไทย-กัมพูชา ยังมีนัยสำคัญ ทั้งการเป็น ‘เวทีแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง’ และสะท้อนว่าความมั่นคงของประเทศสมาชิกเริ่มกลายเป็นประเด็นที่มหาอำนาจภายนอกให้ความสนใจมากขึ้น
ขณะที่ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า คำประกาศความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หรือการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ จะมาพร้อมเงื่อนไขสำคัญ 4 ข้อ ตามที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ไทยได้เสนอไปให้ ทรัมป์ และรัฐบาลกัมพูชา ได้แก่
- การถอนอาวุธหนัก
- การกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน
- ไทย-กัมพูชา ร่วมกันปราบอาชญากรรมข้ามชาติ
- การจัดการรุกล้ำบริเวณชายแดน
สแกมเมอร์ ภัยคุกคามระดับโลก
ปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกกำลังพูดถึง คือการที่หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนกำลังกลายเป็นแพลตฟอร์มในการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ (Scammer) ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนก่อผลกระทบและสร้างความเสียหายร้ายแรงไปทั่วโลก
เรื่องนี้คาดว่าจะเป็นอีกประเด็นใหญ่ที่ถูกหยิบยกขึ้นหารือในเวทีประชุมผู้นำอาเซียนครั้งนี้
ขณะที่กระแสเรียกร้องจากหลายฝ่าย มองว่าชาติสมาชิกและมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ควรที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อประเทศที่เกิดปัญหา เช่น เมียนมา และกัมพูชา ให้กวาดล้างศูนย์สแกมเมอร์ ที่แพร่ขยายในหลายพื้นที่ของประเทศ
นักวิจัยจาก ASEAN Study Centre แห่งสิงคโปร์ ชี้ว่า ศูนย์สแกมเมอร์จำนวนมาก ได้พัฒนาจนกลายเป็น “เศรษฐกิจใต้ดินข้ามชาติ” ที่สร้างรายได้หลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี
โดยการแก้ปัญหาต้องอาศัยทั้งความร่วมมือด้านกฎหมาย เทคโนโลยี และการทูต ซึ่งบทบาทของอาเซียนในประเด็นนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากไม่เร่งจัดการ หรือประกาศแนวทางที่ชัดเจนในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ แน่นอนว่าผลกระทบจะยิ่งขยายวงกว้างมากขึ้นและทำให้การแก้ไขปัญหาในอนาคตยากลำบากขึ้น
ติมอร์‑เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเต็มตัว
การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งนี้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่อาเซียนจะต้อนรับติมอร์-เลสเตเข้าสู่การเป็นประเทศสมาชิกอย่างเต็มตัว
ทั้งนี้ ติมอร์-เลสเต มีพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ในแผนภูมิเอเชียและมหาสมุทรแปซิฟิก และมีจุดแข็งในด้านประชาธิปไตยและความเคารพต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาจช่วยเสริมภาพลักษณ์ของอาเซียนในเวทีโลก
อย่างไรก็ตาม ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของติมอร์-เลสเต ก็เป็นโจทย์ใหญ่ ที่อาเซียนต้องช่วยให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บทวิเคราะห์จาก The Diplomat ชี้ว่าการขยายชาติสมาชิกอาเซียน ในแง่หนึ่งถือเป็นโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ แต่อีกแง่หนึ่ง ก็อาจเป็น ความเสี่ยงต่อเอกภาพของอาเซียน หากไม่มีการปฏิรูปภายในควบคู่ไปด้วย
โดยการขยายสมาชิกใหม่ ยังอาจมีผลต่อระบบ ‘ฉันทามติ (Consensus)’ ของอาเซียน ซึ่งอาจจะอ่อนแรงลง หากสมาชิกมากขึ้นและความหลากหลายเพิ่มขึ้น
วิกฤตเมียนมา: ปัญหาหลักของอาเซียน
วิกฤตในเมียนมาถือเป็นจุดอ่อนใหญ่ของอาเซียนมาตลอด และคาดว่าจะเป็นอีกประเด็นสำคัญในเวทีอาเซียนครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องแผนการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศจะจัดขึ้นปลายปีนี้ ซึ่งมีการเชิญให้อาเซียนส่งคณะผู้สังเกตุการณ์ เข้าร่วมสังเกตุการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งภายในเมียนมายังคงไม่มีวี่แววว่าจะแก้ไขหรือบรรเทาลงได้ ในขณะที่อาเซียนถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า ไม่สามารถผลักดันให้เมียนมาปฏิบัติตามแผนสันติภาพ 5 ข้อได้อย่างจริงจัง
การประชุมอาเซียนครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสสำคัญ ที่อาเซียนถูกจับตามองว่าจะต้องพยายามแสดงให้เห็นว่า สามารถมีบทบาทที่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งในเมียนมาอย่างเป็นรูปธรรม
โดยสหภาพยุโรป ซึ่งประกาศชัดเจนว่าจะไม่ส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังเมียนมา ยังเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียน ร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังในเมียนมา
คัจซา โอลลองเกรน กรรมาธิการสหภาพยุโรป เน้นย้ำว่า “ตราบใดที่เมียนมายังคงไม่มั่นคง ตราบใดที่เมียนมายังคงเป็นต้นตอของความไม่มั่นคงของภูมิภาคโดยรวม เมียนมาควรเป็นข้อกังวลอันดับหนึ่งของประเทศสมาชิกอาเซียน”
อาเซียนบนทางแยก: โอกาสปฏิรูปเพื่อกำหนดกติกาโลก
นอกเหนือจากประเด็นข้างต้น ยังมีอีกหลายความท้าทายสำคัญ ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นวาระหลักของการประชุมครั้งนี้ อาทิ ประเด็นสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ซึ่งยังเป็นจุดชนวนของความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับจีน ในเรื่องอธิปไตย การประมง และเส้นทางเดินเรือ
ตลอดจนกรณีสงครามและความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน การกำกับดูแลเทคโนโลยี AI และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ที่ต้องการหากลไกอาเซียนร่วมเพื่อป้องกันและรับมือความท้าทายอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รักษาความมั่นคงด้านอาหาร และรับมือกับภัยธรรมชาติ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม
หากอาเซียนสามารถทำให้ประเด็นเหล่านี้อยู่ในวาระอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะช่วยยกระดับบทบาทขององค์กรให้กว้างกว่าแค่ “ความร่วมมือภายในภูมิภาค” ไปสู่วาระสากลได้
บทวิเคราะห์จาก Eurasia Review ยังชี้ว่า การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งนี้คือ ‘จุดตัดสำคัญของอนาคตองค์กร’ ว่าจะยังเป็นเพียงเวทีประสานผลประโยชน์ระดับภูมิภาค หรือจะก้าวขึ้นเป็น ‘สถาบันที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดกติกาโลก’
หากอาเซียนสามารถยกระดับจากการเป็น “กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมือง” ไปสู่ ‘องค์กรกำกับดูแลระดับสากล’ ได้สำเร็จ เช่น การจัดตั้งเครือข่ายด้าน AI Safety ที่กำลังเสนอในที่ประชุมครั้งนี้ ก็จะทำให้อาเซียนมีบทบาทต่อประเด็นระดับโลก ตั้งแต่จริยธรรมของ AI ไปจนถึงการกำกับดูแลความมั่นคงทางไซเบอร์และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในภาพรวม การประชุมผู้นำอาเซียนครั้งนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีหารือปัญหาภายในภูมิภาค แต่ยังเป็นเวทีทดสอบ ที่โลกจะจับตามองว่า อาเซียนพร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนจากการเป็น ‘ผู้ตาม’ มาเป็น ‘ผู้กำหนดเกม’ ในระเบียบโลกยุคใหม่
สำหรับไทย เวทีประชุมอาเซียนครั้งนี้ ยังเป็นโอกาสที่ดีในการชูศักยภาพในฐานะประเทศศูนย์กลางของอาเซียน ที่สามารถแสดงบทบาทนำเพื่อแก้ไขและรับมือความท้าทายต่างๆ โดยสิ่งสำคัญคือความพยายามเพื่อให้นานาชาติมองเห็นว่า ไทยมีความสามารถที่จะผลักดันการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้