×

สูงสุดคืนสู่สามัญ ถึงเวลา เควิน เดอ บรอยน์ ต้องไป?

26.02.2025
  • LOADING...
เควิน เดอ บรอยน์

ในช่วงเวลาที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พยายามที่จะไล่ลิเวอร์พูลให้จนมุมเพื่อหาจุดเปลี่ยนของเกม เควิน เดอ บรอยน์ ได้โอกาสในการพลิกบอลก่อนลากตัดในเข้าถึงหน้ากรอบเขตโทษของทีมคู่แข่งสำคัญได้แล้ว

 

จังหวะแบบนี้ภาพคุ้นตาในความทรงจำของทุกคน ต่อให้ไม่ใช้เท้าข้างถนัดแต่เท้าซ้ายของมิดฟิลด์เท้าชั่งทองนั้นสามารถส่งบอลให้พุ่งเสียบสามเหลี่ยมหรือเสียบมุมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หรือขี้เหร่ๆ แล้วต้องเข้ากรอบเป็นอย่างน้อย

 

แต่ครั้งนี้ถึง เดอ บรอยน์ จะพยายามหวดเต็มเท้าแล้วแต่ด้วยขาหลักที่อ่อน วิถีของบอลนั้นอย่าว่าแต่เข้ากรอบเลย บอลนั้นเหินลอยออกไปไกลจนไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว

 

มันเป็นจังหวะท้ายๆ ของกองกลางวัย 33 ปีในเกมนี้ก่อนจะถูกเปลี่ยนตัวออกมาให้ เจมส์ แม็คอาที ไอ้หนูดาวรุ่งลงสนามไปแทน โดยที่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษได้บอกว่านี่คือ “Changing of the guard” หรือการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย

 

คำถามที่น่าสนใจคือมันหมดเวลาสำหรับหนึ่งในกองกลางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกแล้วจริงๆ ใช่ไหม?

 

อาการบาดเจ็บร้ายแรงถึงขั้นเอ็นไขว้หัวเข่าขาดของโรดรี ในเกมกับอาร์เซนอลเมื่อช่วงต้นฤดูกาลนั้นถูกมองว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทีมหมายเลขหนึ่งของอังกฤษอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึงกับทรุดพังทลายลงอย่างชนิดที่ไม่มีใครอยากเชื่อ

 

แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่น่าเชื่อด้วยเช่นกันคือฟอร์มการเล่นที่ตกต่ำอย่างน่าใจหายของคนที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งของทีมอย่าง เควิน เดอ บรอยน์

 

 

กัปตันทีมชาวเบลเยียม ผู้ย้ายมาจากโวล์ฟสบวร์กตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว และกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกครั้งของแมนฯ ซิตี้ ประสบปัญหาอย่างหนักกับการลงสนามในฟุตบอลฤดูกาลนี้

 

ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องของอาการบาดเจ็บที่ตามรบกวนไม่หยุด และดูเหมือนจะทำให้เดอ บรอยน์ ไม่สามารถเรียกสภาพความฟิตสมบูรณ์กลับมาได้อีกเลย

 

แต่หากเฝ้าดูการเล่นของเขาอย่างต่อเนื่องเมื่อได้โอกาสในการลงสนาม ฟอร์มรูดมหาราชของมิดฟิลด์อัจฉริยะคนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถึงกับน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะมีสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่แล้ว

 

เดอ บรอยน์ ประสบปัญหาบาดเจ็บร้ายแรงกล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา (แฮมสตริง) ฉีกขาดตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล 2023/24 จนทำให้ต้องพักการเล่นรักษาตัวเป็นเวลาหลายเดือนกว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง

 

ในช่วงแรกของการกลับมานั้นเจ้าพ่อแอสซิสต์มหัศจรรย์ทำให้ทุกคนตะลึงด้วยสภาพร่างกายที่ดูฟิตสมบูรณ์ แข็งแกร่งประดุจกระทิงหนุ่ม พร้อมทรงผมใหม่เหมือนบอยแบนด์ในสมัยก่อนที่ทำให้ดูกระชากวัยพอสมควร

 

ช่วงเวลานั้นเดอ บรอยน์ แสดงอภินิหารในเกมลูกหนังให้เราได้เห็นหลายครั้ง ทั้งยิงทั้งจ่าย

 

แต่เข้าช่วงปลายฤดูกาลการเล่นของเขาเริ่มตกลงอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มมีอาการแข้งขาพันกัน คิดได้จ่ายไม่ไป คิดได้เลี้ยงไม่ไหวให้เห็น

 

โดยที่อาการนั้นยังลามไปถึงในช่วงของฟุตบอลยูโร 2024 ที่เดอ บรอยน์ ไม่สามารถพยุงหรือแบกทีมได้เหมือนเดิมอีก แม้ทุกคนจะรู้และเข้าใจว่าเขาได้พยายามอย่างถึงที่สุดในรายการที่อาจจะเป็นเมเจอร์สุดท้ายของชีวิตแล้วก็ตาม

 

จนถึงฤดูกาลนี้ที่ผลงานของเขาตกลงอย่างชนิดน่าใจหาย

 

ใน 4 นัดแรกของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เดอ บรอยน์ ลงสนามเป็นตัวจริงทั้งหมด ก่อนจะได้รับบาดเจ็บซ้ำที่แผลเก่าบริเวณด้านหลังโคนขาทำให้พลาดการลงสนามในลีกไป 4 นัด ซึ่งรวมถึงในเกมที่แมนฯ ซิตี้ เสมอกับอาร์เซนอลที่โรดรีได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้เข่าฉีกด้วย

 

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม้จะกลับมาลงสนามได้สภาพร่างกายของเขาดูทรุดหนักพอๆ กับฟอร์มการเล่นของซิตี้

 

จังหวะการเล่นที่เคยทำได้ง่ายๆ ก็กลายเป็นเรื่องยาก และดูต้องพยายามอย่างมากในการที่จะตามทั้งเพื่อนและคู่แข่งให้ทัน

 

มันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ตัดสินใจเริ่มดรอปเขาจากการเป็นตัวหลักของทีม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการพยายามค้นหาคำตอบของกุนซือชาวคาตาลันด้วยในการจะหยุดผลงานที่เลวร้ายของซิตี้ แต่อีกส่วนนั้นมันก็เป็นการบอกโดยนัยอยู่แล้ว

 

ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะกลับมายึดตัวจริงได้อีกครั้ง พร้อมกับการที่ทีมเริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นบ้าง มีส่วนในการช่วยทำให้ทีมกลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้งในเกมกับน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 3-0 (1 ประตู 1 แอสซิสต์) และมีช่วงเวลาที่ดีในเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ติดต่อกัน 3 นัด (เวสต์แฮม, เบรนต์ฟอร์ด, อิปสวิช)

 

แต่การเป็นตัวสำรองไม่ได้ลงสนามในนัดสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเรอัล มาดริด และเกมกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด มันคล้ายเป็นการบอกว่าในยามที่ซิตี้ต้องการใครสักคนที่จะพาทีมรอดพ้นวิกฤต แต่เดอ บรอยน์ เหมือนจะไม่ใช่คนนั้นของเป๊ปแล้ว

 

การได้โอกาสลงสนามตัวจริงในวันที่พบกับลิเวอร์พูลเหมือนเป็นการทดสอบและการพิสูจน์

 

ไม่ใช่เฉพาะสำหรับเป๊ป แต่สำหรับตัวและใจของเดอ บรอยน์ ด้วยว่าเขายังเหลือไฟและเหลือลายอีกมากแค่ไหนสำหรับการลงเล่นในระดับสูงสุด

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามนั้นเป็นภาพที่เห็นแล้วทรมานใจคนที่รักและชื่นชมศิลปินลูกหนังชาวเบลเยียมคนนี้อย่างยิ่ง ต่อให้จะไม่ใช่แฟนของแมนฯ ซิตี้ก็ตาม

 

ผู้รู้ในวงการฟุตบอลมากมายเปรียบฟอร์มการเล่นของเดอ บรอยน์ ในเกมที่เอติฮัดสเตเดียมว่า “ยากที่จะทำใจดู”

 

เดอ บรอยน์ ในความทรงจำของเราไม่ใช่แบบนี้

 

ไม่ใช่เพราะขี้เกียจหรือไม่พยายาม แต่เพราะรู้ว่าพยายามแล้วพยายามอีกแต่ร่างกายกับสมองมันไปด้วยกันไม่ได้แล้ว

 

ความจริงมันก็เป็นเรื่องปกติของโลก ทุกอย่างเสื่อมถอยตามกาลเวลา อยู่ที่ว่าจะทำใจยอมรับกับมันได้มากหรือน้อย เร็วหรือช้า

 

ต่อให้เก่งเป็นยอดมนุษย์แค่ไหน สักวันเวลาแบบนี้ย่อมมาถึง

 

 

เรื่องนี้จึงเป็นคำถามที่เป๊ปเองก็ตั้งโจทย์เอาไว้ให้กับนักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของชาวซิตี้เซนส์ว่าถึงเวลาที่เขาจะต้อง ‘ซื่อสัตย์’ กับความรู้สึกของตัวเองแล้ว

 

โดยสถานการณ์เวลานี้เดอ บรอยน์ กำลังจะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาล ชื่อชั้นเชิงบอลของเขายังเป็นที่ปรารถนาของหลายสโมสร โดยเฉพาะในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ที่ทีมชิคาโก ไฟร์ อยากได้นักเตะมันสมองดีคนนี้ไปเล่นด้วย และเชื่อว่าจะทำได้ดีไม่ต่างจากยอดนักเตะคนอื่นๆ ที่ย้ายมาในระยะหลัง โดยเฉพาะในทีมอินเตอร์ ไมอามี ที่มีทั้งลิโอเนล เมสซี, หลุยส์ ซัวเรซ,​ เซร์จิโอ บุสเกตส์ และ จอร์ดี อัลบา

 

นอกจากนี้สโมสรในซาอุดีโปรลีกเองก็พร้อมทุ่มไม่อั้น ซึ่งเดอ บรอยน์ เองก็เคยเปรยเป็นนัยว่าเขาพร้อมพิจารณาข้อเสนอเช่นกัน

 

แต่ในเวลาเดียวกันก็มีกระแสข่าวว่าเขากำลังพิจารณาที่จะต่อสัญญาและยอมรับบทบาทในการเป็นแค่นักเตะตัวประกอบของทีม (Bit-part player) ที่จะได้โอกาสในการลงสนามบ้างแค่ประปราย

 

ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะเขาได้เจอกับ โม ซาลาห์ ที่อายุน้อยกว่าปีเดียวแต่สภาพร่างกายฟิตแข็งแกร่งและยิ่งเล่นก็ยิ่งเปล่งประกายจนทำให้เริ่มคิดที่อยากจะกลับมาเรียกฟอร์มการเล่นแบบเก่าๆ หรือไม่

 

อย่างไรก็ดี สุดท้ายคนที่จะต้องตอบคำถามคือเดอ บรอยน์

 

ด้วยสถานะระดับตำนาน ซิตี้และเป๊ปพร้อมทำตามทุกอย่างอยู่แล้วไม่มีเงื่อนไขตั้งแง่ให้มากมายเหมือนกรณีของซาลาห์, เวอร์จีล ฟาน ไดค์ เพื่อนซี้ต่างสโมสรที่ไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนด้วยกัน ซึ่งยังไม่รู้อนาคตว่าจะลงเอยอย่างไรกับลิเวอร์พูล

 

แต่จากที่ได้เห็นและเป็นอยู่

 

ของบางอย่างเมื่อมันผ่านไปแล้วมันหวนย้อนกลับมาไม่ได้

 

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเดอ บรอยน์ อาจเป็นการจบทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ซึ่งเอาเข้าจริงระหว่างเขากับแมนฯ ซิตี้ หรือแม้แต่กับใครก็ตามมันไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้ว

 

6 แชมป์พรีเมียร์ลีก, 2 แชมป์เอฟเอ คัพ, 5 แชมป์เอฟเอ คัพ,​ 1 แชมเปียนส์ ลีก

 

นี่คือกองกลางอัจฉริยะที่ดีและเก่งที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล

 

เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่เป็นรองใครทั้งนั้น

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising