Kering บริษัทแม่ของ Gucci กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก เมื่อแบรนด์เรือธง Gucci กำลังสูญเสียความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวจีน ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทลดลงเหลือเพียง 1 ใน 6 เมื่อเทียบกับของคู่แข่งอย่าง Hermès
Armelle Poulou ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Kering กล่าวว่า ตลาดจีนกำลัง ‘แบ่งขั้ว’ ระหว่างสินค้าระดับไฮเอนด์และสินค้าราคาไม่แพง ซึ่ง Gucci ที่อยู่ในตำแหน่ง ‘กลางๆ’ ไม่ได้ประโยชน์จากการแบ่งขั้วนี้
Gucci ซึ่งสร้างรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของ Kering ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากตลาดเอเชียแปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) และคิดเป็นประมาณ 35% ของรายได้ของกลุ่ม โดยรายได้ลดลง 21% ในไตรมาสแรกของปี 2024 นับเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สี่
ในทางกลับกัน Hermès คู่แข่งกลับมีรายได้เพิ่มขึ้น 14% จากเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ในขณะที่ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton รายงานว่ายอดขายลดลงเพียง 6% ในเอเชีย แต่ยอดขายเพิ่มขึ้นในตลาดอื่นๆ
Junpei Tanaka จาก Pictet Asset Management (Japan) กล่าวว่า การลดราคาในร้านเอาต์เล็ตส่งผลเสียต่อมูลค่าแบรนด์ของ Gucci ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Hermès และ Louis Vuitton ไม่มีร้านเอาต์เล็ต
สินค้าคงคลังของ Kering เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าใน 5 ปี ท่ามกลางยอดขายที่ซบเซาในจีน การเคลียร์สินค้าคงคลังในขณะนี้จะใช้เวลา 354 วัน ซึ่งมากกว่า 5 ปีที่แล้วถึง 85 วัน
Kering พยายามที่จะฟื้นฟู Gucci โดยแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนใหม่เมื่อปีที่แล้ว และเปลี่ยนไปเน้น ‘Quiet Luxury’ ซึ่งเป็นเทรนด์ระดับโลกที่เน้นสินค้าคุณภาพสูงแต่เรียบง่าย โดยตั้งเป้าให้การออกแบบใหม่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในสิ้นปีงบประมาณนี้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าการฟื้นฟู Gucci นั้นยากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดย Luca Solca นักวิเคราะห์จาก Bernstein กล่าวว่า การลดราคา ต้นทุนการค้าปลีก และปัจจัยลบอื่นๆ ทำให้กำไรจากการดำเนินงานของ Kering ลดลงกว่า 4% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 24% ในปี 2023 ซึ่งทำให้ Kering ตามหลัง Hermès ที่ 43% และ LVMH ที่ 27%
อ้างอิง: