ความจริงแล้วมันควรเป็นเกมที่ เมาริซิโอ ซาร์รี ภูมิใจและได้รับการปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการทางความรู้สึกกับคำครหาว่านักฟุตบอลของเขาไม่เคยต่อสู้เพื่อตัวเขาเลยแม้เพียงสักนิด
เชลซีกลายเป็นทีมที่แตกต่างจากเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วที่โดนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สอนให้รู้จักความพ่ายแพ้ในทุกมิติถึง 6-0 คราวนี้ที่เวมบลีย์ พวกเขาสวมหัวใจสิงห์ลงสนามทุกคน แม้จะเป็นรองในเรื่องศักยภาพ ขีดความสามารถ ทีมเวิร์ก และขวัญกำลังใจ พวกเขาก็ทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต้องเผชิญกับความยากลำบากตลอด 90 นาทีในช่วงเวลาปกติ และอีก 30 นาทีในช่วงการต่อเวลาพิเศษของนัดชิงลีกคัพใต้ขอบโค้งของเวมบลีย์ที่ยิ่งใหญ่
ด้วยผลงานนี้ แพ้หรือชนะก็ไม่อาจพรากความรู้สึกภูมิใจในตัวของลูกทีมที่อย่างน้อยได้พยายามเล่นอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ความเสียใจเหลือติดค้างในความรู้สึกอีก
แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนพยายามสร้างและทำร่วมกันมากลายเป็นฝุ่นที่ละเอียดยิ่งกว่าฝุ่นพิษ PM2.5 ด้วยน้ำมือของ เกปา อาร์ริซาบาลากา
ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะพอได้เห็นภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ทราบเรื่องราว ขออนุญาตเล่าย้อนแบบกระชับว่าในช่วงก่อนหมดการต่อเวลาพิเศษ เชลซีมีการขอเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูจากเกปามาเป็น วิลลี กาบาเยโร นายทวารจอมเก๋าชาวอาร์เจนตินา
การเปลี่ยนตัวนั้นถูกตีความจากคนส่วนใหญ่ว่าเป็นเพราะซาร์รีต้องการใช้กาบาเยโรซึ่งเป็นผู้ชำนาญการพิเศษในการดวลจุดโทษ อีกทั้งยังเป็นอดีตนักเตะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยซักซ้อมและเคยคุ้นกับเหล่านักเตะเรือใบสีฟ้าหลายคนเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ตัวของเกปาก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บตะคริวขึ้นถึง 2 ครั้งในช่วงท้ายเกม และมีท่าทีที่อาจไม่สามารถลงสนามทำหน้าที่ต่อได้
แต่แทนที่จะเดินออกจากสนามเพื่อส่งต่อหน้าที่ให้กาบาเยโร เกปากลับปฏิเสธที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม แสดงท่าทีว่าเขายัง ‘โอเค’ พร้อมกับโต้ตอบเจ้านายที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์เป็นไปอย่างเผ็ดร้อนอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เกปาจะไม่ยอมออกจากสนามจริงๆ การเปลี่ยนตัวไม่เกิดขึ้น และซาร์รีหัวเสียถึงขั้นบันดาลโทสะจนเกือบจะเดินหนีออกจากสนาม
สุดท้ายเกปาทำหน้าที่ต่อในช่วงของการดวลจุดโทษ แต่น่าเสียดายที่เขาช่วยทีมได้ดีที่สุดโดยเซฟได้เพียงแค่ครั้งเดียว และเชลซีเป็นผู้แพ้ในเกมนี้ ปล่อยให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถป้องกันแชมป์ลีกคัพได้
หลังเกมจบลง ซาร์รีพยายามดับไฟร้อนด้วยการยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่ ‘ความเข้าใจผิดครั้งใหญ่’ ระหว่างเขาและเกปา
ขณะที่ประตูเจ้าของค่าตัวสถิติโลก 71.6 ล้านปอนด์ก็ออกแถลงผ่านสโมสร ยืนยันว่าเขาไม่มีเจตนาจะขัดคำสั่งผู้จัดการทีม เขาแค่ยังสู้ไหวและต้องการช่วยทีมในการดวลจุดโทษ และยังคงเคารพและเชื่อฟังซาร์รีเหมือนเดิม
แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากเรื่องเล่าของเก้าอี้ตัวหนึ่งในร้านกาแฟลึกลับ Funiculi Funicula ที่สามารถย้อนเวลากลับได้เพียงชั่วเวลากาแฟยังอุ่น
เพียงแต่การย้อนเวลากลับไปนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในอดีต สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่มีผลอะไรกับปัจจุบัน
สิ่งที่เกปาพูด – รวมถึงซาร์รีที่พยายามช่วยพูดเพื่อไม่ให้เรื่องราวใหญ่โตไปกว่านี้ – ไม่สามารถหักล้างสิ่งที่เขาทำได้
การปฏิเสธจะทำตามคำสั่งผู้จัดการทีมหรือโค้ชไม่ต่างอะไรจากการเป็น ‘กบฏ’ ในทีมฟุตบอล
ไม่มีทางที่เกปาจะหลุดพ้นเรื่องนี้ได้โดยที่เรื่องทั้งหมดจะหายเงียบไปในอากาศ
ในความเห็นของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้หรือแฟนบอล สิ่งที่ทุกคนต้องการเห็นคือบทลงโทษที่สาสมกับความผิดของนายทวารวัย 24 ปี โดยมิได้ต้องการเห็นความฉิบหายวายวอดของเกปาหรือเพียงเพราะแค่ความสะใจแต่อย่างใด
ความสำคัญของบทลงโทษนั้นหมายถึงการกอบกู้ศักดิ์ศรีของสโมสรคือเชลซี ของโค้ชอย่างซาร์รี รวมถึงวงการฟุตบอลทั้งหมดที่ต้องอับอายจากการกระทำที่เราไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าคิดต่อมาจากกรณีที่เกิดขึ้นคือบางทีนี่อาจเป็นกระจกสะท้อนถึงเรื่องอำนาจของนักฟุตบอลในยุคปัจจุบันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้มีความคิดกำเริบเสิบสาน และไม่แปลกที่จะมีความกังวลว่าสิ่งที่เกปาทำอาจกลายเป็นต้นแบบของเด็กรุ่นต่อไป
ตลอดมาเกมฟุตบอลมีกรอบความเชื่อว่าหากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ จะชอบหรือชังก็ต้องฟังคำโค้ช
หากโค้ชขอให้เล่นตรงไหนก็ต้องเล่น โค้ชสั่งเปลี่ยนตัวก็ต้องรีบออกจากสนาม มันคือ ‘หน้าที่’ ของพวกเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ
แต่สิ่งที่เกปาทำมันคือการปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งของเจ้านาย ทำลายกรอบความเชื่อและจารีตทั้งหมด แค่ต้องการจะทำตามใจตัวเองเท่านั้น ซึ่งไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรจากการที่เขาทำแบบนี้ นอกจากตัวของเขาเองเท่านั้น
คำถามที่น่าสนใจคืออะไรที่ทำให้เกปาคิดว่าเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของเจ้านายได้?
คำตอบที่ตีความได้ง่ายที่สุดคือก็เพราะเขาไม่เห็นศีรษะของเจ้านายอย่างซาร์รี และทำให้เรื่องที่เคยได้ยินมาว่านักเตะเชลซีเชื่อว่าพวกเขาคือกลุ่มที่มีอำนาจเหนือกว่าโค้ชหรือผู้จัดการทีมทุกคนน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
แค่เราไม่เคยได้เห็นชัดๆ ขนาดนี้มาก่อนเท่านั้น
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มากมายภายในรั้วสแตมฟอร์ดบริดจ์ ตั้งแต่ยุคสมัยของ หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี, อังเดร วิลลาส-โบอาส หรือแม้แต่ผู้ที่พาทีมประสบความสำเร็จมากมายอย่าง โฆเซ มูรินโญ และไม่นานนี้กับ อันโตนิโอ คอนเต
ถ้าพวกเขาไม่พอใจขึ้นมา ไม่เชื่อในแนวทางขึ้นมา การต่อต้านจะเกิดขึ้นทันที และบทสรุปสุดท้ายคือชัยชนะของกลุ่มนักเตะ เพราะพวกเขารู้ว่าบอร์ดบริหารและ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของสโมสรก็มีแนวทางที่ชัดเจนในการทำทีม คือพวกเขาจะไม่ยอมเสียเวลากับใครนานหากรู้ว่าจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ
กับกรณีของเกปาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีนักเตะคนไหนที่ยืนข้างซาร์รี ซึ่งมีข่าวว่าหากแพ้ในเกมนี้ก็มีโอกาสที่จะเก็บกระเป๋ากลับอิตาลีสูง และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับกุนซือที่เป็นอดีตนายแบงก์คนนี้มากนักก็ได้
บางทีก็ชวนให้คิดติดลบว่าที่เห็นเล่นได้อย่างตั้งใจก็อาจเพราะพวกเขาอยากจะได้แชมป์เพื่อตัวเอง ไม่ใช่ทำเพื่อซาร์รีด้วยซ้ำไป
ในช่วงนาทีของเหตุการณ์ที่น่าละอาย มีเพียง ดาวิด ลุยซ์ ในฐานะนักเตะอาวุโสในทีมที่พยายามเดินมาคุยกับเกปา ขณะที่กัปตันทีมอย่าง เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา กลับไม่ทำอะไรเลย จนแม้แต่แฟนบอลเองก็รับไม่ไหวกับสิ่งที่ได้เห็น
ลำพังเรื่องผลงานที่ย่ำแย่จนตกลงมาอันดับ 6 ของพรีเมียร์ลีก ข่าวลือการย้ายทีมของ เอเดน อาซาร์ (ซึ่งผมได้ยินเสียงแว่วจากคนวงในฟุตบอลสเปนบอกว่าเขากำลังจะไปเรอัล มาดริด) และข่าวการโดนลงโทษแบนห้ามซื้อผู้เล่นเป็นระยะเวลา 2 รอบตลาดซื้อขายหรือปีเศษก็หนักหนาสาหัสพออยู่แล้ว
อำนาจของผู้เล่นในทีมเชลซีกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนสโมสรมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรจะต้องใส่ใจลงมาแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนไม่แพ้กับปัญหาเรื่องอื่น ซึ่งผมก็หวังว่าเราจะได้เห็นเชลซีทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ทุกอย่างกลับสู่ครรลองอีกครั้ง
มากกว่าแค่จบปัญหาวันนี้ แต่ทิ้งปัญหาดั้งเดิมที่ใหญ่กว่าเอาไว้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวสโมสรเอง และต่อ The Beautiful Game ที่เรารักแม้แต่น้อย
ภาพ: Reuters
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ล่าสุดเชลซีออกบทลงโทษให้แก่เกปา โดยจะปรับเงินค่าเหนื่อย 1 สัปดาห์ หรือราว 195,000 ปอนด์ และนำเงินนั้นไปบริจาคเพื่อการกุศล
- ซาร์รียืนยันว่าไม่ติดใจ พร้อมให้โอกาสในการเป็นมือหนึ่งในทีมต่อไป
- เกปาไม่ใช่คนแรกที่ปฏิเสธจะถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนาม ก่อนนี้เคยมีกรณีของ ลิโอเนล เมสซี ที่ไม่ยอมโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนาม สุดท้าย หลุยส์ เอ็นริเก โค้ชบาร์เซโลนาในสมัยนั้นต้องเปลี่ยน เนย์มาร์ ออกจากสนามแทน
- มีการเปิดเผยว่า เซซาร์ อัซปิลิกูเอตา ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเปลี่ยนเกปาของซาร์รี มีการโต้เถียงกันในช่วงหลังการต่อเวลาพิเศษ และยังแสดงความยินดีกับเกปาที่เซฟจุดโทษของ เลรอย ซาเน ได้ด้วย โดยก่อนหน้านี้เขาและซาร์รีเคยมีปัญหากันหลังกุนซือชาวอิตาลีตำหนิลูกทีมหนักในเกมที่แพ้อาร์เซนอล
- ตำแหน่งนายใหญ่เชลซีของซาร์รียังอยู่บนฟางเส้นสุดท้าย โดยบอร์ดบริหารพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นในเกมที่แพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และตัดสินใจให้โอกาสที่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของเขาในเกมจะไปเยือนท็อตแนม ฮอตสเปอร์
- จานฟรังโก โซลา ถึงจะเป็นตำนานที่แฟนบอลรัก แต่อาจไม่ได้ทำหน้าที่รักษาการณ์ผู้จัดการทีมต่อจากซาร์รี และในเหตุการณ์วุ่นวาย เขาก็เป็นอีกคนที่ล้มเหลวจะทำให้เกปายอมโดนเปลี่ยนตัว