×

จับตา ไบเดน ผลักดันข้อตกลง TPP ต่อหรือไม่? หลังจีนร่วมกรอบ RCEP ข้อตกลงการค้าเสรีใหญ่ที่สุดในโลก

โดย THE STANDARD TEAM
16.11.2020
  • LOADING...
จับตา ไบเดน ผลักดันข้อตกลง TPP ต่อหรือไม่? หลังจีนร่วมกรอบ RCEP ข้อตกลงการค้าเสรีใหญ่ที่สุดในโลก

การเดินหน้าลงนามกรอบ RCEP หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งถือเป็นข้อตกลงการค้าเสรีใหญ่ที่สุดของโลก ภายใต้การจับมือกันระหว่างจีนและ 14 ชาติเอเชียแปซิฟิก รวมถึงไทย เมื่อวานนี้ (15 พฤศจิกายน) กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่ถือเป็นคู่แข่งทางการค้าโดยตรงของจีน

 

ความตกลง RCEP จะครอบคลุมประชากรโลกกว่า 30% และคิดเป็น 30% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ของทั่วโลก

 

แต่สหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในข้อตกลงการค้าเสรีฉบับนี้ อีกทั้งรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นย้ำนโยบาย ‘America First’ ยังละทิ้งจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นคู่แข่งของ RCEP ทำให้ตอนนี้กลายเป็นสหรัฐฯ ที่อาจตกขบวนรถสำคัญ ที่อาจเป็นย่างก้าวในการกำหนดกรอบการทำงานของกฎระเบียบการค้าและการลงทุนโลกสมัยใหม่

 

ที่ผ่านมา โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ เคยแสดงท่าทีว่าจะพยายามฟื้นการเจรจาความตกลง TPP ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้ให้คำมั่นแต่อย่างใดว่าจะพาสหรัฐฯ กลับเข้าร่วมความตกลงฉบับนี้

 

ขณะที่ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครของพรรคเดโมแครต ณ ขณะนั้นก็แสดงท่าทีถอยห่างจาก TPP ซึ่งอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ให้การสนับสนุนภายหลังเผชิญกระแสกดดันจากในประเทศ

 

ด้านนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง ของจีน กล่าวผ่านวิดีโอลิงก์ระหว่างพิธีลงนาม RCEP ชี้ถึงความสำคัญของ RCEP ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของการค้าพหุภาคีและการค้าเสรี

 

“นี่ไม่ใช่เพียงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ในความร่วมมือระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือชัยชนะของการค้าพหุภาคีและการค้าเสรี” หลี่กล่าว

 

ขณะที่นักวิจัยจากสถาบัน Mizuho Research Institute ระบุว่าความตกลง RCEP จะช่วยตัดลดภาษีที่มีอยู่ออกไปกว่า 91% ในขณะที่ความตกลง TPP จะตัดลดภาษีลง 99.9% แต่ใจความสำคัญของ RCEP คือการนำจีนเข้ามาอยู่ในกฎเกณฑ์ทางการค้าร่วมกัน

 

อีกสิ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับ RCEP คือการยกเลิกเก็บภาษีจำนวนมากจากการค้าขายระหว่างญี่ปุ่นกับจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งสินค้าที่ส่งออกจากญี่ปุ่นไปจีนจะยกเลิกจัดเก็บภาษีเพิ่มจากเดิม 8% เป็น 86% ส่วนสินค้าส่งออกจากญี่ปุ่นไปเกาหลีใต้จะยกเลิกเก็บภาษีเพิ่มจาก 19% เป็น 92%

 

โดยหากความตกลงมีผลบังคับใช้จะส่งผลให้อะไหล่รถยนต์ที่ส่งออกจากญี่ปุ่นกว่า 87% ปลอดภาษี เช่นเดียวกับเหล็กและเครื่องมือการเกษตรอย่างรถแทรกเตอร์ที่ปัจจุบันเก็บภาษีอยู่ที่ 3% ถึง 6% ก็จะได้รับการยกเว้นภาษี

 

สำหรับการเดินหน้า RCEP เพื่อเปิดประตูการค้าของจีนสู่โลกภายนอก ส่วนหนึ่งคาดว่าเป็นผลจากความตึงเครียดทางการค้าต่อสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีท่าทีจะบรรเทาลง แม้ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของไบเดน ซึ่งจีนจำเป็นต้องหาพันธมิตรและเพิ่มพูนความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านในเอเชีย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติ

 

แต่สำหรับรัฐบาลสหรัฐฯ ตอนนี้เหมือนกับเดินอยู่บนทางแยกที่ต้องตัดสินใจ ซึ่งในยุคที่ไบเดนรับตำแหน่งรองประธานาธิบดีภายใต้การนำของโอบามานั้นเขาเคยเป็นหนึ่งในคนที่พยายามผลักดัน TPP

 

แต่ในการหาเสียงเลือกตั้งปีนี้ ทางพรรคเดโมแครตกลับประกาศยืนยันว่าจะไม่เจรจาข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ใดๆ จนกว่าจะมีการลงทุนในบริษัทอเมริกันมากขึ้น และไบเดนยังเน้นย้ำนโยบาย ‘ซื้ออเมริกัน’ หรือการปกป้องทางการค้าของสหรัฐฯ ที่มากขึ้นด้วย

 

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ จะมีขึ้นใน 2 ปีหลังจากนี้ ซึ่งแหล่งข่าววงในของเดโมแครตเปิดเผยว่าการเจรจาข้อตกลงการค้า เช่น TPP อาจจะถูกหยิบยกขึ้นหารืออีกครั้งในเวลาที่เหมาะสม

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

https://asia.nikkei.com/Politics/US-elections-2020/Eyes-on-Biden-s-TPP-move-as-China-joins-mega-trade-deal-RCEP?fbclid=IwAR10LB4vrZVPjUpb7FTLePugW9QdifJX5v2J2UNsDqegG210wiYA2Jo6Iu8

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X