คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ซึ่งเป็นคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในด้านสภาวะโลกร้อน ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลที่เราทุกคนบนโลกต้องสนใจว่า หากมนุษย์เรายังคงใช้ชีวิตตามปกติ ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปเรื่อยๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ อุณหภูมิเฉลี่ยที่พื้นผิวโลกเมื่อเทียบกับช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (ราวศตวรรษที่ 18) จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.7-4.8 องศาเซลเซียสภายในปี 2643
โดยแบบจำลองนักวิจัย เอ็มไอที-คาลเทค ได้ระบุว่า ทุกๆ 1 องศาเซลเซียสของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดพายุฝนรุนแรงขึ้น 6% เพราะความร้อนที่เพิ่มขึ้นทำให้ไอน้ำในชั้นบรรยากาศสูงขึ้น
ขณะที่อิโคโนมิสต์ อินเทลลิยูเจนซ์ ยูนิต (อีไอ) ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของนิตยสาร The Economist เมื่อปี 2562 ระบุว่า ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะสร้างความสูญเสียโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลกถึง 7.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 256 ล้านล้านบาท ภายในปี 2593 เป็นความเสียหายที่รอเราอยู่ในอนาคตถ้าเรายังไม่รีบตัดวงจรแห่งความสูญเสียนี้
ด้วยเหตุนี้เอง ‘ภาวะโลกร้อน’ จึงกลายเป็นวิกฤตที่ตื่นตัวกันทั่วโลก โดยภาวะนี้เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น ผลที่ตามมาคือพิบัติภัยทางธรรมชาติมากมายที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเราโดยตรง
ที่มองข้ามไม่ได้คือ มากกว่า 50% ของก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ มากกว่าที่เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินเลยนักหากจะบอกว่า ‘มนุษย์’ นี่แหละคือต้นเหตุโลกร้อนที่แท้จริง
และในเมื่อมนุษย์คือต้นเหตุ ผู้ที่ควรหันมาแก้ปัญหาก็คงหนีไม่พ้นมนุษย์ด้วยกันเอง หลายประเทศออกมาตรการเพื่อควบคุมเรื่องนี้ เช่น EU ประกาศหยุดจำหน่ายรถเครื่องยนต์สันดาปในปี 2578 และเตรียมเก็บภาษีคาร์บอนสินค้านำเข้าปี 2566 อีกทั้งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนก็ประกาศตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2603
สำหรับประเทศไทยก็มีการตื่นตัวเช่นกัน โดยรัฐบาลได้ประกาศ Net Zero ในปี 2608 และออกมาตรการพิเศษให้เงินอุดหนุนและลดภาษีนำเข้ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าในปี 2565-2568
ซึ่งนับเป็นการขยับตัวครั้งสำคัญของไทย แต่คงต้องช่วยกันสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดเป็นเมกะเทรนด์ในสังคมไทยได้จริงๆ องค์กรธุรกิจเองก็ต้องช่วยกันผลักดันสู่สังคมในวงกว้างด้วย โดยทำให้เรื่องโลกร้อนไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพื่อเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของคนไทยให้ทุกวันต้องทำเพื่อโลก
“พอเป็นปัญหาโลกร้อนก็ต้องยอมรับว่าหลายคนมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้ามองเรื่อง Net Zero ที่ต้องใช้ระยะเวลาอีก 43 ปีก็ไม่ไกลเลย แม้ปัญหานี้จะไม่จบที่รุ่นเรา และแม้จะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ธนาคารกสิกรไทยไม่สามารถทำคนเดียวได้ ดังนั้นเราจึงอยากชวนคนไทยทุกคนมาช่วยกัน” กฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าว
สำหรับธนาคารกสิกรไทยเราดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน และมีความเชื่อว่าเรื่องของการดำเนินงานอย่างยั่งยืนจะทำให้ธนาคาร ลูกค้า และประเทศ อยู่รอดและเติบโตไปด้วยกัน จึงมุ่งมั่นแสดงความรับผิดชอบเรื่องความยั่งยืนในมิติต่างๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ธนาคารทำมาอย่างยาวนานและทำต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นที่ตัวเองหรือองค์กรของเราก่อน ขยายไปสู่ลูกค้า และอยากผลักดันสู่สังคม
ทั้งหมดทั้งมวลได้กลายมาเป็นโครงการที่เป็นรูปธรรมในการรับผิดชอบสิ่งแวดล้อมจากองค์กรใหญ่ โดยโครงการ GO GREEN Together เป็นโครงการที่ธนาคารกสิกรไทยเชื่อมโยงและผลักดันให้เกิด Green Ecosystem ได้จริงในไทยเป็นธนาคารแรกที่อยากให้คนไทยมาร่วมรักษ์โลกไปด้วยกัน
ซึ่งกสิกรไทยพร้อมสนับสนุนให้คนไทยลงมือทำจริง และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์เพื่อโลกของคนไทย ประเดิมโครงการกับแคมเปญสินเชื่อ GREEN ZERO ให้ลูกค้าที่ต้องการจะปรับรูปแบบการใช้ชีวิตและธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้สินเชื่อและโปรโมชันพิเศษดังนี้
- สินเชื่อรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ทุกยี่ห้อในกลุ่ม BEV (Battery-Electric-Vehicle) วงเงินกู้สูงสุด 12 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 7 ปี โปรโมชันพิเศษ ขับฟรี ผ่อน 0 บาท ระยะเวลา 90 วัน
- สินเชื่อบ้านเพื่อติดตั้งแผงโซลาร์ ทั้งการขอสินเชื่อเพื่อบ้านใหม่ รีไฟแนนซ์ สินเชื่อบ้านกู้เพิ่มได้ และสินเชื่อบ้านช่วยได้ โปรโมชันพิเศษ ฟรีดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน คลิกที่นี่ https://kbank.co/3HRtt8l
- สินเชื่อธุรกิจเพื่อติดตั้งแผงโซลาร์ วงเงินกู้สูงสุด 100% ของมูลค่าโครงการ ระยะเวลากู้สูงสุด 8 ปี และสินเชื่อรับประกันการประหยัดพลังงาน วงเงินกู้สูงสุด 100% ของเงินลงทุน ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี โปรโมชันพิเศษ ฟรีดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน
“ช่วงแรกเราเตรียมวงเงินไว้ 3 พันล้านบาท แต่ในอนาคตจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาท ก่อนจะเป็น 1 แสนล้านบาท และหลายแสนล้านในอนาคต ส่วนจะเร็วได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับลูกค้า”
ความเคลื่อนไหวของกสิกรไทยถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นการเข้ามากระตุ้นให้คนไทยหันมาใส่ใจเรื่องของสิ่งแวดล้อมโดยตรง จากที่มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ก็ขยับเข้ามาให้ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างความตระหนักและรับรู้มากขึ้น
ที่สำคัญแนวทางดังกล่าวเปรียบเสมือนกระจกที่สะท้อนภาพการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ ใส่ใจต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกๆ ด้านอย่างจริงจัง
เพราะโลกนี้เป็นของพวกเราทุกคน หากเราละเลยไม่ใส่ใจที่จะเริ่มต้นแก้ไขปัญหาโลกร้อนอาจจะสายจนเกินแก้ และที่สุดแล้วผลกระทบก็จะตกมาที่พวกเราโดยตรง
อย่างไรก็ตาม โครงการ GO GREEN Together เป็นเพียงก้าวแรกของธนาคารกสิกรไทยเท่านั้น ยังมีโครงการออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในบิ๊กมูฟส่งต่อสิ่งแวดล้อมดีๆ ร่วมกู้วิกฤตโลกร้อน และสร้างโลกที่ดีให้คนรุ่นต่อไป
สำหรับคนที่สนใจปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่ Green Lifestyle สมัครร่วมแคมเปญสินเชื่อ GREEN ZERO ได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายนนี้ หรือสอบถามข้อมูลที่ K Contact Center 0 2888 8888
อ้างอิง: