วันนี้ (10 มกราคม) เหตุปะทะเดือดระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารในคาซัคสถาน จากวิกฤตราคาน้ำมันเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีใหม่ ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 164 ราย เกือบ 6,000 รายถูกควบคุมตัว ซึ่งในจำนวนนี้มีพลเมืองต่างชาติรวมอยู่ด้วย
จากเหตุชุมนุมประท้วงเมื่อวันที่ 2 มกราคม กระจายตามเมืองสำคัญทั่วประเทศ ก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นเหตุปะทะกัน จนนำไปสู่การร้องขอของ คาสซิม โจมาร์ท โตกาเยฟ ประธานาธิบดีคาซัคสถานคนปัจจุบัน ให้กองกำลังต่างชาติ โดยเฉพาะจากรัสเซีย ในนามขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security Treaty Organization: CSTO) เข้ามาช่วยควบคุมความไม่สงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นในประเทศ โดยขณะนี้คาซัคสถานยังคงอยู่ระหว่างการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่สุดอย่างอัลมาตี มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 103 ราย เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงของชาติได้รับคำสั่งจากโตกาเยฟให้สามารถใช้อาวุธปืนกับประชาชนได้โดยไม่จำเป็นต้องประกาศเตือน ส่งผลให้รัฐบาลในหลายประเทศกำลังเฝ้าจับตาสถานการณ์ในคาซัคสถาน ด้าน แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ วิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวทางในการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมของโตกาเยฟ และเรียกร้องให้ผู้นำคาซัคสถานประกาศยกเลิกคำสั่งดังกล่าวโดยเร็ว
วิกฤตที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2022 สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำคนปัจจุบันและผู้นำคนก่อนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งชาติคาซัคสถาน’ ในมิติที่ต่างออกไปจากเดิม หลังโตกาเยฟกระชับอำนาจ สั่งปลด นูร์ซุลตาน นาซาร์บาเยฟ อดีตประธานาธิบดีคนแรกของคาซัคสถาน ออกจากตำแหน่งประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับนาซาร์บาเยฟ หลังจากถ่ายโอนอำนาจผู้นำประเทศให้กับโตกาเยฟแล้ว หลายฝ่ายคาดว่า หากเหตุความไม่สงบยังคงยืดเยื้อ ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก
บทความที่เกี่ยวข้อง:
ภาพ: Valery Sharifulin / TASS via Getty Images
อ้างอิง:
