×

Katieismonster ในยุคของการทำงานรูปแบบใหม่และมุมมองการใช้ชีวิต

18.09.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 mins. read

 

  • “แบบแรกคือไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลย นั่งรอเวลาให้สถานการณ์ดีขึ้น แล้วก็คอยรุกการขาย รุกลูกค้ากลุ่มเดิมให้มาซื้อของ รวมถึงใช้วิธีทางการตลาดแบบเดิมที่ไม่ปรับเปลี่ยน หรืออาจจะปรับ แต่ก็นิดๆ หน่อยๆ ให้รู้สึกว่าตัวเองปรับ แบบนี้ความรู้สึกของเคธี่คือไม่สบายใจที่จะทำงานด้วยเลย เพราะโลกเปลี่ยนแล้ว แต่เขากลับไม่เปลี่ยนตามโลก”
  • “แบบที่สองคือปรับตัวได้ทุกสถานการณ์เพื่อการขาย อย่างแบรนด์ Loewe ตอนนี้ทำอินสตาแกรมใหม่ ตั้งเป็นไพรเวตไว้สำหรับส่งข่าวสารให้ลูกค้าโดยตรง หรือแม้แต่ห้างใหญ่ไปจนถึงเว็บไซต์ออนไลน์ก็ส่ง Personal Shoppers เข้ามาใกล้ชิด แนะนำ หรือเสนอลูกค้าในทุกช่องทาง ซึ่งเคธี่มองว่าทั้งสองแบบไม่มีถูกหรือผิด เพราะทุกแบรนด์ก็ขยับเพื่อทำให้แบรนด์อยู่รอด แต่ความจริงเคธี่ก็มองว่ามันยังไม่ใช่ทางออกจริงๆ ของธุรกิจในยุค New Normal”
  • “ถ้าถามเรื่องเทรนด์ เคธี่คิดว่ามันไม่มีแล้ว เทรนด์มันไม่มีมาสักพักแล้วในโลกแฟชั่น ทุกสิ่งหรือทุกอย่างตอนนี้ทุกคนเป็นผู้กำหนดตัวเองทั้งหมด ทุกคนให้แรงบันดาลใจกัน Subculture เยอะมากจนคำว่าเทรนด์กลายเป็นสิ่งที่เชยไปแล้ว แฟชั่นทุกวันนี้คือการเป็นตัวของตัวเอง มันคือเทรนดี้ที่สุด”

วงการแฟชั่นที่กำลังเปลี่ยนไป ภายใต้กฎของการปรับตัวในยุคนี้ทำให้หลากหลายแบรนด์ตลอดจนบุคคลในวงการแฟชั่นต้องปรับตัวและทันสถานการณ์ตลอดเวลา สาวไทยที่ได้รับการยอมรับในวงการแฟชั่นระดับโลกและใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เคธี่ รื่นสำราญ หรือ @katieismonster ได้แวะเวียนมาพูดคุยกับ THE STANDARD POP แบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเล่าถึงตัวเอง ณ วันนี้กับการทำงานที่ลอนดอน ภายใต้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปในสภาวะของ New Normal 

 

“ตอนนี้ถ้าพูดถึงหน้าที่การทำงานก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็น Fashion Creative Consultant และดูอาร์ตไดเรกชันให้กับแบรนด์ต่างๆ แต่ถ้าถามว่างานยากขึ้นไหม ส่วนตัวคิดว่านาทีนี้ไม่มีอะไรง่ายอีกแล้ว เพราะทุกวันนี้เหมือนเราเริ่มใหม่ทุกอย่าง เคธี่บอกกับทุกคนและทุกแบรนด์ที่ต้องทำงาน ถึงขั้นพูดยํ้าๆ วนๆ จนคนอาจจะคิดว่าเราไม่ปกติ เหมือนคนยํ้าคิดย้ำทำไปแล้ว ว่าตอนนี้และต่อไปจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมแล้ว หลายคนพูดกับเคธี่ว่าเดี๋ยวก็จะดีขึ้น รอให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมแล้วจะอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่แน่นอน เพราะตอนนี้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปแล้วใน 6 เดือนที่ผ่านมา มันมีความยากขึ้น แต่ภายใต้ความยาก ลึกๆ กลับรู้สึกว่าดีนะคะ ไม่ใช่ดีที่มีไวรัส แต่ดีที่เหตุการณ์โควิด-19 เกิดขึ้นจนทำให้เราเชื่อว่าอย่างน้อยมนุษย์รู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรที่เราควรให้ความสําคัญ มันทำให้เราไม่ยึดติดกับอะไรและเข้าใจความไม่แน่นอนมากขึ้น ทำให้คนเรามีสามัญสำนึกในการใช้ชีวิตไปจนถึงเรื่องการทำงานที่แทบอิงจากระบบเดิมหรือการทำงานในระยะเวลาเดิมๆ ไม่ได้แล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณของการทำงานสายนี้ว่ามันถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ”

 

เคธี่ รื่นสำราญ หรือชื่อทุกคนรู้จัก Katieismonster

 

อย่างที่ทราบว่าคุณทำงานกับเฮาส์แบรนด์ใหญ่ๆ มามาก ตอนนี้แต่ละแบรนด์มีการปรับตัวอย่างไรในแง่ของการทำงาน การตลาด ตลอดจนการหล่อเลี้ยงแบรนด์ให้อยู่รอดในยุคนี้
มีหลายแบบ แบบแรกคือไม่ปรับเปลี่ยนอะไรเลย นั่งรอเวลาให้สถานการณ์ดีขึ้น แล้วก็คอยรุกการขาย รุกลูกค้ากลุ่มเดิมให้มาซื้อของ รวมถึงใช้วิธีทางการตลาดแบบเดิมที่ไม่ปรับเปลี่ยน หรืออาจจะปรับแต่ก็นิดๆ หน่อยๆ ให้รู้สึกว่าตัวเองปรับ แบบนี้ความรู้สึกของเคธี่คือไม่สบายใจที่จะทำงานด้วยเลย เพราะโลกเปลี่ยนแล้ว แต่เขากลับไม่เปลี่ยนตามโลก

 

แบบที่สองคือปรับตัวได้ทุกสถานการณ์เพื่อการขาย อย่างแบรนด์ Loewe ตอนนี้ทำอินสตาแกรมใหม่ ตั้งเป็นไพรเวตไว้สำหรับส่งข่าวสารให้ลูกค้าโดยตรง หรือแม้แต่ห้างใหญ่ไปจนถึงเว็บไซต์ออนไลน์ก็ส่ง Personal Shoppers เข้ามาใกล้ชิด แนะนำ หรือเสนอลูกค้าในทุกช่องทาง ซึ่งเคธี่มองว่าทั้งสองแบบไม่มีถูกหรือผิด เพราะทุกแบรนด์ก็ขยับเพื่อทำให้แบรนด์อยู่รอด แต่ความจริงเคธี่ก็มองว่ามันยังไม่ใช่ทางออกจริงๆ ของธุรกิจในยุค New Normal

 

เคธี่ให้สัมภาษณ์กับ Vogue.com

 

คิดว่าแบรนด์ใดที่กำลังมาแรง มีความโดดเด่น และเป็นที่จับตามากๆ ในยุโรป
ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าไม่มี เพราะทุกวันนี้หลายๆ แบรนด์ต่างทำงานที่คล้ายคลึงกัน มันจึงเห็นไม่ชัดว่ามีแบรนด์ไหนที่โดดเด่นในสายตาของบายเออร์ วันนี้เคธี่เพิ่งมีโอกาสได้คุยกับบายเออร์จากหลายที่ ทุกคนต่างก็พูดแบบเดียวกันว่ากำลังรออัศวินขี่ม้าขาวที่จะสร้างความแตกต่างและสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการแฟชั่นอีกครั้ง

 

The Meaning Well แบรนด์สัญชาติอังกฤษที่เริ่มทุกอย่างบนพื้นฐานความจริงใจ

 

แบรนด์ใดที่คุณรู้สึกว่าสดใหม่มาก เป็นความชอบส่วนตัวที่ไม่ต้องอ้างอิงจากความนิยมของลอนดอน 

ตอนนี้เคธี่ชอบวิธีคิดของแบรนด์อังกฤษแบรนด์หนึ่งชื่อ The Meaning Well เขาเริ่มทุกอย่างบนพื้นฐานของความจริงใจ ผลิตของน้อย แล้วโฟกัสที่คุณภาพ ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้วอย่างผ้า Deadstock มาผลิต แต่ไม่ใช่งานประเภท Customise ที่เอาของเก่ามาทำใหม่ ประเภท Sustainable ซึ่งความจริงก็แทบจะไม่มีแบรนด์ไหนกล้าพูดว่า Sustainable 100% ซึ่งในปีที่ผ่านมาทุกแบรนด์โฟกัสเรื่องนี้เพียงเพราะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์เพื่อนำไปสู่การขายที่มากขึ้นต่างหาก แต่ The Meaning Well เขามีผ้าแค่ไหนก็ผลิตแค่นั้น แล้วเขาก็สนับสนุน Local Artisan โดยผลิตที่อังกฤษ แม้ค่าใช้จ่ายในการผลิตจะสูงมาก แต่แบรนด์ก็เลือกที่จะทำเพื่อลดการขนส่งที่เป็นมลพิษให้กับโลก ซึ่งนิยามความคิดของแบรนด์เขาที่น่าสนใจคือ “เราหยุดความคิดสร้างสรรค์ในเรื่องแฟชั่นไม่ได้ แต่เราโลภให้น้อยลงได้”

 

 

เทรนด์รูปแบบไหนที่กำลังได้รับความนิยมที่สุด

ถ้าถามเรื่องเทรนด์ เคธี่คิดว่ามันไม่มีแล้ว เทรนด์มันไม่มีมาสักพักแล้วในโลกแฟชั่น ทุกสิ่งหรือทุกอย่างตอนนี้ทุกคนเป็นผู้กำหนดตัวเองทั้งหมด ทุกคนให้แรงบันดาลใจกัน Subculture เยอะมาก จนคำว่าเทรนด์กลายเป็นสิ่งที่เชยไปแล้ว แฟชั่นทุกวันนี้คือการเป็นตัวของตัวเอง มันคือเทรนดี้ที่สุด

 

ตลาดแฟชั่นอังกฤษกับตลาดแฟชั่นไทยมีความแตกต่างกันมากไหม 

มันแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว หมายถึงวัฒนธรรมต่างกัน การกิน การใช้ชีวิตต่างกัน ทำให้ความชอบของคนต่างกัน วัฒนธรรมการซื้อขายหรือการเลือกเสพในทุกๆ ด้านค่อนข้างแตกต่างกันด้วย ต่อให้นักเรียนที่มาเรียนที่นี่กับคนที่เกิดที่นี่ก็ชอบอะไรต่างกัน ประสบการณ์การเรียนรู้และการซึมซับมันไม่เหมือนกัน จึงไม่มีอะไรถูกหรือผิด เคธี่มองว่าภายใต้คำว่าตลาดแฟชั่นมันคือตลาดของแต่ละประเทศ ซึ่งคงไม่มีทางเหมือนกัน

 

กระแสสังคมโลกทุกวันนี้ เคธี่คิดว่าออนไลน์ยังเป็นส่วนสำคัญอันดับต้นๆ ของการสร้างแบรนด์อยู่หรือไม่ในแง่การซื้อขายออนไลน์ คนที่นั่นเขาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากน้อยแค่ไหน

ส่วนตัวคิดว่าสำคัญมาก ถ้าให้ตอบตรงๆ หลายคนมักพูดว่าชอบไปซื้อของที่ร้าน เพราะได้สัมผัส ได้เห็น หรืออะไรต่างๆ ตามแต่ความคิดของคน แต่ตอนนี้คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ซื้อของออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันซื้อง่าย ถ้าเราไม่ชอบก็มีเงื่อนไขการคืนที่ไม่ยุ่งยาก คนก็พร้อมจะจ่ายมากขึ้น เหตุการณ์โควิด-19 มันทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น ยิ่งช่วงหนึ่งที่นี่มีการล็อกดาวน์ การซื้อของออนไลน์จึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก ไม่ได้พูดถึงแค่การซื้อเสื้อผ้า มันรวมถึงการซื้อต้นไม้ ซื้อของแต่งบ้าน ที่ส่วนตัวมองว่าสำคัญมากๆ เพราะยิ่งคนใช้ชีวิตที่บ้านมากขึ้น หันไปทางไหนในบ้านก็อยากจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งจริงๆ มองว่าเราควรใส่ใจกับบ้านหรือกับตัวเองมาตั้งแต่ก่อนจะเกิดโควิด-19 ไหม สำหรับเคธี่ บ้านคือสถานที่ที่เราชาร์จพลัง เป็นที่ที่เราได้อยู่กับครอบครัว ถึงได้เกริ่นตั้งแต่คำถามแรกๆ ว่าเหตุการณ์โควิด-19 จริงๆ แล้วดีตรงที่ทำให้มนุษย์ใส่ใจกับสิ่งที่ไม่เคยใส่ใจมาก่อนนั่นเอง

 

 

มีความกดดันในการทำงานที่รายละเอียดมากขึ้นในวงการแฟชั่น ณ ขณะนี้บ้างไหม สาเหตุอะไรที่ทำให้อยู่ในจุดนั้น แล้วคุณหาวิธีแก้ไขอย่างไร

ไม่กดดันกับงานที่รายละเอียดมากขึ้น แต่กดดันกับคนที่อาจจะมีมุมมองความคิดที่ไม่ตรงกัน ซึ่งเคธี่มองว่าการปรับทัศนคติของตัวเรากับตัวเขานี่ล่ะค่ะที่ยาก และเป็นเกือบทุกสังคมบนโลกใบนี้ด้วย

 

คิดถึงบ้านบ้างไหม ถ้าสถานการณ์ทั่วโลกคลี่คลายลงแล้ว โลกของเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

London is a HOME for me, Always.

 

 

ภาพ: เคธี่ รื่นสำราญ และ Vogue.com

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising