บลจ.กสิกรไทยระบุมูลค่าหุ้นทั่วโลกเริ่มสูง ค่าพี/อีปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี นักลงทุนจึงควรลงทุนอย่างระมัดระวังความเสี่ยง และกระจายการลงทุนไปสู่สินทรัพย์ที่หลากหลาย
วศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มแพง โดยค่าพีอีตลาดหุ้นแทบทุกตลาด ณ ปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังไปแล้ว ปัจจัยจึงเป็นปัจจัยที่น่ากังวล
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องติดตามอื่นคือ 1. นโยบายธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โดยเชื่อว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะยังควบคุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำ 2 .นโยบายการคลังของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่ง บลจ.กสิกรไทยเชื่อว่าสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายการคลังที่ทำให้เกิดสภาพคล่องล้นระบบอย่างต่อเนื่อง และ 3. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งมองว่าหลายประเทศจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในปีนี้ หลังจากวิกฤตการณ์โควิด-19 จะคลี่คลาย
“ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกปีนี้ เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้ราว 5% โดยประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ GDP น่าจะขยายตัว 5% ในปีนี้ ส่วนจีนและอินเดีย GDP น่าจะฟื้นตัว 8-10% ซึ่งสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย”
ทั้งนี้ แม้ในปีที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นอย่างมาก แต่ตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั่วโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้ผู้ลงทุนเริ่มสนใจย้ายในลงทุนในกองทุนต่างประเทศ (FIF) กันมากขึ้น และคาดว่าความสนใจจะต่อเนื่องในปีนี้ จึงให้น้ำหนักกับ 2 ธีมการลงทุน ได้แก่
- ธีม New Normal การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในวงกว้าง เช่น การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ การใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการทำงานและการศึกษานอกสถานท่ี โดยหุ้นท่ีได้ประโยชน์ได้แก่กลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare), อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และการศึกษาออนไลน์ (Edutainment) เป็นต้น
- ธีมสองมหาอานาจ สหรัฐฯ และจีน ต่างมีปัจจัยบวกสนับสนุนเศรษฐกิจใน ประเทศ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเป็นแหล่งระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนหลากหลายสัญชาติ มีน้ำหนักสูงถึง 46% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่จีนมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ และมีการบริโภคภายในประเทศท่ีค่อนข้างสูง รวมถึงมีความเจริญทางด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งนี้ สำหรับกองทุนหุ้นไทย ยังคงเน้นลงทุนในห้นกลุ่ม Quality Growth และ High Potential for Recovery จากความคืบหน้าในการแจกจ่ายวัคซีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ผู้ลงทุนกระจายการลงทุนพร้อมเติบโตตามเทรนด์โลกในระยะยาวผ่าน 6 กองทุนที่แนะนำ ซึ่งประกอบด้วย
- กองทุนเปิด เค พอสซิทีฟ เชนจ์ หุ้นทุน (K-CHANGE)
- กองทุนเปิด เค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA)
- กองทุนเปิด เค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA)
- กองทุนเปิด เค โกลบอล อินคัม (K- GINCOME)
- กองทุนเปิด เค สตาร์ หุ้นทุน (K-STAR)
- กองทุนเปิด เค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS)
โดยผู้ลงทุนควรกระจายการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อลดความผันผวน และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุน
“ภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากความสำเร็จในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีน การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และการใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ New Normal กลุ่มนี้ยังมีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนเอเชีย รวมถึงไทย โดยหากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะได้เห็นกำไรในบริษัทจดทะเบียนของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และทำให้ตลาดสามารถซื้อขายในระดับ Valuation ท่ีสูงได้”
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดว่า SET Index ปลายปีจะปรับแตะระดับ 1,600 จุด ภายใต้ความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากเห็นความชัดเจนในการแจกจ่ายวัคซีน และการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่จะสนับสนุนการส่งออกของประเทศ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์