ถึงแม้ว่ากระแสความนิยมของรายการ I Can See Your Voice และ The Mask Singer ของช่องเวิร์คพอยท์จะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดเหมือนช่วงแรกๆ และทำให้กระแสของพิธีกร ‘หน้ากากสามี’ พลอยจางหายไปจากแฮชแท็กในโลกโซเชียลลงไปบ้าง
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่าสนใจในตัว กันต์ กันตถาวร ลดน้อยลงแต่อย่างใด เขายังคงเป็นพิธีกรที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ และเต็มไปด้วยระเบียบวินัยเกินร้อยเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน
และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาคือหนึ่งในพิธีกรที่เราเห็นเขาในจอโทรทัศน์บ่อยที่สุด และล่าสุดยังมีโอกาสเห็นเขาบนจอภาพยนตร์กับหนังเรื่อง 7 Days เรารักกัน จันทร์-อาทิตย์ หนังรักที่เริ่มถ่ายทำในไทม์ไลน์สำคัญของชีวิต เพราะเขาเพิ่งประกาศแต่งงานกับแฟนสาวที่คบกันมานาน 8 ปีในช่วงนั้นพอดี
ก่อนที่จะไปชมความรักของกันต์กับบทบาทบนจอภาพยนตร์ THE STANDARD มีโอกาสพูดคุยกับเขาเพื่อตรวจทาน ‘ความรัก’ ในชีวิตจริง ทั้งความรักในการทำงานและในฐานะผู้ชายที่กำลังสละโสดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
รวมถึงเป้าหมายในการ ‘ใช้ชีวิตไปวันๆ’ ที่อาจจะฟังดูเบาบางไปหน่อย แต่กันต์กำลังพยายามเคี่ยวกรำตัวเองด้วยความเข้มงวดเพื่อแลกชีวิตแบบนั้นมา
ทุกวันนี้คุณใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจบ้างเวลาเลือกรับงานแต่ละอย่าง ทั้งโฆษณา พิธีกร นักแสดง และอีเวนต์ต่างๆ
รับจากความรักก่อนเลย เป็นเกณฑ์ในวันนี้นะครับ เมื่อก่อนผมรับจากความรู้สึกว่าเราไหว ทำงานเพื่อเก็บเงินหาเลี้ยงชีพ ปัจจุบันก็ยังหาเลี้ยงชีพอยู่ เพียงแต่เราจะอยู่บนพื้นฐานความรักต่องานนั้นๆ เสมอ ไม่ใช่ว่ารับทุกงานที่เข้ามา เพราะสำหรับผม ถ้าทำอะไรที่ไม่ได้รัก การใช้ชีวิตจะน่าเบื่อทันที และมันจะทำงานอย่างไม่มีความสุข เพียงเพราะคิดแต่ว่าเรา ‘ต้อง’ ทำ
มีปัจจัยสำคัญอะไรบ้างทำให้คุณรู้สึกว่า ‘รัก’ งานนั้นๆ ได้
ความท้าทายและจุดหมายที่งานนั้นต้องการ เช่น งานพิธีกร จุดมุ่งหมายคือทำให้คนดูมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าผมทำแบบนั้นได้ ส่วนภาพยนตร์ ยกตัวอย่างเรื่อง 7 Days เรารักกัน จันทร์-อาทิตย์ จุดหมายคือสื่อว่าความรักคืออะไร คุณรู้จักความรักดีแค่ไหน ผมเชื่อว่าคนดูจะรับรู้มุมมองของความรักได้จากการสื่อสารผ่านตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ นี่คือจุดหมายที่ดีที่ผมรู้สึกท้าทายว่าอยากทำแบบนั้นให้ได้
เรารู้มาว่ากันต์เป็นคนเตรียมตัวเยอะมากในการเป็นพิธีกรแต่ละครั้ง กับงานแสดงเรื่องนี้ต้องเตรียมตัวมากขนาดไหน
ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้คิดจะรับเล่นเรื่องนี้ตั้งแต่แรก จุดเริ่มต้นคือผมสนิทกับพี่ปี๊ด (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) ผู้กำกับเรื่องนี้ เจอกันตามงานสังสรรค์ต่างๆ พี่เขาบอกว่ากำลังทำหนังเรื่องนี้อยู่ เล่าพล็อตให้ผมฟัง ผมก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นไปว่าทำไมไม่ลองทำประมาณนี้ มันควรจะเป็นบิดเป็นอย่างนี้ไหม คุยกันไปคุยกันมา พัฒนาบทมาด้วยกันเรื่อยๆ คุยกันตามประสาพี่น้องที่สนิทกันโดยที่ยังไม่มีตัวผมเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรเลยนะ จนวันที่พี่ปี๊ดเริ่มปฏิบัติการถ่ายทำเรื่องนี้จริงๆ เขาก็บอกว่า กันต์ ไหนๆ มึงก็ช่วยกูมาถึงขนาดนี้แล้ว มาเล่นให้กูด้วยเลยแล้วกัน (หัวเราะ)
ผมเลยบอกว่าขออ่านบทแบบจริงๆ จังๆ ก่อนนะ ไม่ใช่แค่พล็อตที่คุยกันมา พอได้อ่าน ผมรู้สึกว่าองค์ประกอบที่จะทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จได้คือนักแสดงและทีมงานที่ต้องมีความเชื่อเดียวกันทั้งหมด พอเขาบอกชื่อนักแสดงและทีมงานมาทั้งหมด ผมเชื่อว่าเป็นไปได้เลย และถ้าได้ตามนั้นทั้งหมดจริงๆ ผมโอเคที่จะเล่น สรุปว่าพี่ปี๊ดก็สามารถพามาได้ทั้งหมดจริงๆ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวกับเรื่องนี้มันเลยเริ่มมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
พูดได้เลยไหมว่ากันต์คือนักแสดงคนสุดท้ายที่รับเล่นเรื่องนี้
ใช่ครับ ทั้งๆ ที่เริ่มมาแต่แรกเลยนะ (หัวเราะ)
พลอยไม่ใช่คนสวยที่สุดที่เจอแล้วว้าวอะไรแบบนั้น แต่พออยู่กับเขาแล้วผมสามารถเป็นตัวเองได้มากที่สุดโดยที่ไม่ต้องเป็นกันต์ที่อยู่ในจอทีวี
การที่หนังเริ่มถ่ายทำช่วงเดือนมีนาคม หลังจากประกาศเรื่องแต่งงานไปแล้ว ช่วยให้คุณเห็นมุมมองบางอย่างเกี่ยวกับความรักเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่า
มีส่วนเหมือนกันนะครับ เพราะเป็นช่วงที่ผมเริ่มลดระดับในการหาบาลานซ์ที่จะเข้าใจผู้หญิงมากขึ้น พอเราสุกงอมกับความรักพอสมควร เราจะรู้สึกว่าคนที่ต้องการความรักมีหลายแง่มุม ความรักสำหรับทุกคนไม่ใช่คำเดียวกัน บางคนความรักคือเพื่อน บางคนคือความใคร่ บางคนคือความเสน่หา แต่พอเราเห็นค่ากลางของมันแล้วเราจะจัดการความรู้สึกได้ดีขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็เริ่มมองเห็นตั้งแต่พัฒนาบทที่ผมหยอดทัศนคติของผมลงไปตัวละครแต่ละตัวในเรื่องด้วย
มีเรื่องไหนที่แอบใส่ไว้ในหนังเพื่อบอกกับพลอย (อัยดา ศรีมูลตรี) เป็นพิเศษบ้างไหม
มีบ้างนิดหน่อย คือผมคิดว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่มีทางเข้าใจกัน 100% อยู่แล้ว เหมือนเรามาจากดาวคนละดวง เพียงแต่ว่า ณ จักรวาลนี้ความรักคือการหาค่ากลางซึ่งกันและกัน ผมต้องพยายามปรับตัวเพื่อเข้าใกล้เขาให้ได้มากที่สุด เขาเองก็ต้องพยายามปรับตัวเพื่อเข้าใกล้เรามากที่สุด แล้วมันจะเจอกันตรงกลางพอดี ซึ่งตรงกลางไม่ได้แปลว่าต้องกลางเป๊ะ บางคู่อาจจะเอียงไปทางคนใดคนหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคู่ว่าเขาแฮปปี้และตกลงกันได้ที่ตรงไหน มันคือการให้เกียรติและใส่ใจซึ่งกันและกัน เป็นองค์รวมที่ไม่มีค่าตอบแทนว่าต้องเท่าไรจึงจะเรียกว่ากลาง นอกจากสองคนนั้นจริงๆ
ค่ากลางของคู่กันต์และพลอยเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน
ผมเป็นคนโชคดีนะ เพราะเราเจอกันตรงเกือบกลางพอดี เพราะผมคบกับคุณพลอยมา 8 ปี เจอกันตั้งแต่เด็ก สมัยซ่าๆ เจอเรื่องเฮ้ว เฮฮา เกือบจะเลิกกัน ด่ากัน ดีกันมาหมดจนผ่านทุกช่วงกราฟของชีวิตคู่มาแล้ว ผมเชื่อว่าเรื่องดีๆ ใครๆ ก็ชอบนะ แต่พอมาถึงตอนนี้ มันสำคัญที่เรื่องไม่ดีต่างหากว่าเราสามารถรับเรื่องไม่ดีของอีกคนได้ไหม
ใช้เวลานานขนาดไหนกว่าจะหาจุดตรงกลางของความรักครั้งนี้เจอ
6 ปี เป็นความรู้สึกที่พูดไม่ถูกเหมือนกันนะ ก่อนหน้านั้นเราก็ผ่านกันทุกเรื่องมาแล้ว คู่ผมก็ไม่ใช่โซลเมตที่เจอกันครั้งแรกแล้วทุกอย่างถูกต้องไปหมดเลย มีช่วงขึ้นสังเวียนสู้กันว่าเดี๋ยวผมต่อยหมัดซ้ายแล้วโดนเขาต่อยกลับ วันนี้กลายเป็นว่าจริงๆ เราไม่ต้องต่อยกันก็ได้นี่หว่า ต่างคนต่างยอม ไม่มีใครชนะ ไม่มีใครแพ้ แต่อยู่ด้วยกันได้ ซึ่งพอหาจุดตรงกลางได้ ชีวิตดีขึ้นทันทีเลยนะครับ เพราะจากที่ต้องต่อสู้ ต้องอธิบายกันด้วยคำพูดมากมาย กลายเป็นว่าสุดท้ายเหลือแค่ความเข้าใจ มันตัดขั้นตอนฟาดอารมณ์ใส่กันแล้วประหยัดเวลาได้เยอะมาก
6 ปีนี่ฟังดูนานเหมือนกันนะสำหรับการหาจุดที่พอดีสำหรับชีวิตคู่
สำหรับผมถือว่านานมากนะ ผมไม่เคยคบใครนานขนาดนี้มาก่อนเลย แต่สำหรับผมกับพลอย คิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเจอจุดกลางเร็วกว่านี้ เร็วกว่าที่ควรจะเป็นด้วย (หัวเราะ) แต่อาจเพราะผมเป็นคนคิดเยอะในทุกๆ เรื่อง ผมคิดเสมอว่าถ้าคบกับคนนี้ในวัยนี้ คือเราคบกันเพื่อแต่งงานแล้วนะ เราอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนนี้ เราจะอยู่กับเขาได้หรือเปล่า ใช้ชีวิตกับเขาโอเคหรือเปล่าวะ ถ้ามีคู่แล้วชีวิตคู่เราเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีจะดีอีกแบบ ผ่านการชั่งน้ำหนักข้อดี-ข้อเสียมาหมด
จนสุดท้ายมาได้คำตอบว่าพลอยไม่ใช่คนสวยที่สุดที่เจอแล้วว้าวอะไรแบบนั้น แต่พออยู่กับเขาแล้วผมสามารถเป็นตัวเองได้มากที่สุดโดยที่ไม่ต้องเป็นกันต์ที่อยู่ในจอทีวี ซึ่งกันต์ในจอทีวีก็เป็นตัวเองอยู่แล้วนะ เพียงแต่มันมีเรื่องการแต่งตัว มวลรวมต่างๆ ที่ผมสามารถเป็นตัวเองได้จริงๆ และเรารักกันที่เป็นแบบนี้แล้ว
ย้อนไปวันแรกๆ ที่เจอกันแล้วตลกมาก แต่งตัวเต็มกันทั้งคู่นะครับ เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ก รองเท้าหนัง ทุกวันนี้เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะหนีบ 20 บาท ส่วนพลอยนี่เมื่อก่อนส้นสูง 7 นิ้วมาเลย เห็นครั้งแรก โอ้โห ผู้หญิงคนนี้สูง 170 แน่ๆ สักพักทำไมตัวหดลงวะ (หัวเราะ)
เรื่องไหนที่คนเป็นแฟนกับกันต์ต้องยอมเข้าใจมากที่สุดว่าคุณไม่สามารถเปลี่ยนเรื่องนี้ได้จริงๆ
ผมเป็นคนทำอะไรได้ทีละอย่าง สมมติถ่ายรายการอยู่ การโทรเข้ามาแล้วถามว่ากินข้าวหรือยังหรือทำอะไรอยู่ของเขาจะถูกเมินเฉยทันที เมื่อก่อนจะไม่เข้าใจว่า เฮ้ย ทำไมล่ะ คุยกับเราแค่ 2 นาทีมันยากมากเลยเหรอ แต่ตอนนี้กลายเป็น อ๋อ ถ่ายรายการอยู่เหรอ กินข้าวด้วยนะ เดี๋ยวพลอยไปโน่นนี่นั่นนะ โอเค จบ
ซึ่งอันนี้เป็นจุดอ่อนจากตัวผมล้วนๆ นะ ไม่ใช่ทัศนคติเท่ๆ อะไรเลย ผมโฟกัสได้แค่ทีละอย่างจริงๆ สมมติคุยงานอยู่ที่ร้านอาหารแล้วพนักงานเดินมาถามว่าจะกินอะไร ผมยังตอบไม่ได้เลย ไม่กิน คุยงานให้เสร็จก่อน (หัวเราะ) ถ้าโฟกัสอะไรสองอย่างพร้อมกันเมื่อไร พังทันที
แฟนเคยพูดบ้างไหมว่ากันต์เป็นคนที่คิดอะไรเยอะเกินไป
บ่อยครับ (หัวเราะ) แต่ผมมีเหตุผลว่าทำไมถึงต้องคิดเยอะ อันนี้หมายถึงทุกเรื่องนะครับ ไม่ใช่แค่ความรัก เพราะผมมีจุดหมายในชีวิตคือการได้ชีวิตไปวันๆ ภาพในหัวของผมคือตื่นเช้ามากินกาแฟได้ มีน้องหมารายล้อม กินกาแฟเสร็จพาหมาไปวิ่ง ถ้ามีคนโทรมาตามจะบอกว่าไม่ว่าง ยังพาหมาวิ่งไม่เสร็จ (หัวเราะ) พอไปถ่ายรายการ สมมติกำหนดถึง 4 โมง ถ้ายังไม่เสร็จผมจะกลับ ทุกอย่างเกิดจากความชัดเจนในการทำงาน ทุกคนที่ผมทำงานด้วยจะรู้ว่าเมื่อถึงเวลาคือต้องพร้อม นัด 4 โมง พอไปถึงทุกคนต้องพร้อมถ่าย นับ 5 4 3 2 1 แล้วใส่จนหมด หมดแล้วเลิก ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง พอเสร็จก็แยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะงานไม่ใช่อย่างเดียวในชีวิต ทุกคนมีครอบครัว มีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่ต้องทำและดูแล
พอพูดถึงคำว่าใช้ชีวิตไปวันๆ มันเป็นคำที่ฟังแล้วเบาบางมากเลยนะ แต่การจะทำแบบนั้นได้มันต้องเกิดจากกระบวนการใช้ชีวิตและทำงานที่เข้มงวดมากๆ ถ้าอยากมีเวลากินกาแฟ มีเวลาให้หมา มีเวลาให้คนรัก มีเวลาให้ครอบครัว เราต้องจัดการพาร์ตการทำงานให้ดีที่สุด เวลาของทุกคนมีค่า เราต้องเคารพเวลาในชีวิตของทุกคนเท่ากันหมด เพราะฉะนั้นผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก ในชีวิตการทำงานผมเคยเลตไม่เกิน 5 ครั้ง เพราะผมต้องการเวลาไปกินข้าว ไปสังสรรค์ ไปทำอะไรที่ผมชอบกับคนที่ผมรัก มันคือการใช้ชีวิตไปวันๆ ที่มีความสุขกับทุกสิ่งที่รัก ไม่ใช่มีชีวิตไปวันๆ แล้วหายใจทิ้งอย่างเดียว
ในฐานะเป็นคนที่เข้มงวดและตั้งใจกับการทำงานมากขนาดนี้ คุณมีวิธีจัดการกับความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่เข้มงวดในการทำงานของคนอื่นอย่างไร
ผมผ่านวัยคะนองมาหมดแล้วครับ วัยที่พอเข้ากองถ่ายแล้วเห็นคนไม่ท่องบทมา พอเข้าฉากนับ 5 4 3 2 1 ผมพูดในส่วนของผมแล้วก็พูดแทนในส่วนของเขา เสร็จปุ๊บ คัต ผมเดินออกมาแล้วกลับบ้านเลย เพื่อทำให้เขารู้ว่าที่ไอ้ส่วนที่เขาไม่ยอมท่องมาน่ะ ผมสามารถท่องแทนเขาได้หมดเลยนะ การที่เขาไม่ยอมเตรียมตัวมาก่อนทำให้ช่างไฟ ช่างกล้อง ทีมงานคนอื่นๆ ที่ได้เงินน้อยกว่าต้องมารอ ผมรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่พอมาอีกวันก็จะรู้สึกว่าทำแบบนั้นทำไมวะเนี่ย คิดว่าไม่เอาแล้ว มันมีวิธีการพูดที่ดีกว่านั้น
เคยผ่านช่วงที่ตัวเองทำตัวเละเทะ ไม่มีระเบียบวินัยบ้างไหม
ก็มี แต่น้อย มีช่วงหนึ่งผมอยากลองเละเทะเหมือนกัน เพราะเห็นสภาวะแวดล้อมในการทำงานเป็นแบบนั้น เลยรู้สึกว่าหรือเราควรจะ go with the flow ดูวะ อาจจะเป็นตัวเราผิดจากคนอื่นเองก็ได้ เลยลองดู เขานัด 7 โมง เราพร้อมแล้วนะ แต่อยากลองไปสาย เห็นเขามา 9 โมงกัน แต่ระหว่างรอผมร้อนรนมากเลยนะ เฮ้ย ทำไมเรายังไม่ออกจากบ้านอีกวะ เฮ้ย รีบๆ 9 โมงสักทีสิ เราจะได้ไปสาย (หัวเราะ) ซึ่งพอไปสายแล้วไม่ได้รู้สึกว่าทำงานดีขึ้นนี่หว่า
พอกลับมามองจริงๆ มันไม่ได้ผิดจากตัวเราหรอก มันเป็นคนรอบตัวนี่แหละที่ทำแบบนี้ แล้วก็ได้คำตอบอีกว่า อ๋อ เพราะเขาเป็นแบบนั้น เขาก็เลยยังอยู่แค่ตรงนี้ไง ผมต้องทำอะไรก็ได้ให้หลุดไปจากตรงนี้เร็วที่สุดจากการเลือกของผมเองหรือการก้าวไปข้างหน้าของผม พอคิดแบบนี้เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้แปลก เราทำสิ่งที่ถูกต้อง และเราจะเคารพในความถูกต้องและสิ่งที่ควรเป็นเสมอ
ตามปกติเมื่ออายุมากขึ้น เราจะมีความผ่อนคลายให้กับบางเรื่องในชีวิตมากขึ้น สำหรับคนที่เข้มงวดกับทุกอย่างอย่างคุณ มีเรื่องไหนที่คุณสามารถอนุญาตให้ตัวเองผ่อนคลายลงแล้วได้บ้าง
ช่วงก่อนตัดสินใจทิ้งงานละครแล้วมาเป็นพิธีกรเต็มตัว ตอนนั้นมีสองวิกฤตเกิดขึ้นในชีวิตผม ตอนที่บอกว่าเมื่อก่อนเกณฑ์ในการรับงานของคือเท่าที่ไหว ประกอบกับนิสัยโฟกัสอะไรได้แค่อย่างเดียว ทำให้ตอนเป็นนักแสดงผมโฟกัสแค่การทำงานจนชีวิตอย่างอื่นพังหมดเลย ครอบครัว แฟน หมา ทุกอย่างมีความสำคัญรองลงมาทั้งหมด ทำงานจนไม่มีเวลากินข้าวกับพ่อแม่ ผมคิดว่าแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เหมือนเราตั้งใจมากๆ เพื่อวิ่งเข้าเส้นชัย แต่พอไปถึงเส้นชัยกลับมีแค่เราคนเดียวยืนอยู่ตรงนั้น ทำไมไม่มีคนปรบมือให้กับผม ทั้งๆ ที่ผมก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วนะ มีเงินเลี้ยงดูทุกคน ลืมคิดไปว่าเราไปมองแค่ที่ปลายทาง แต่ระหว่างทางเราไม่ได้ให้คนอื่นวิ่งมาพร้อมเราด้วยเลย
อย่างที่สองคือการต้องเลือกระหว่างการแสดงที่เป็นงานที่ผมรักกับการเป็นพิธีกรที่เป็นอาชีพที่ผมฝัน ผมคิดเรื่องนี้อยู่นานมาก แต่พอประกอบกับวิกฤตเรื่องไม่หิ้วใครมาด้วย ทำให้ผมตัดสินใจว่าเราจะทำตามความฝันทั้งที่ยังไม่ได้คุยกับใครถึงอนาคตบนเส้นทางสายนี้ เชื่อไหมว่าคนรอบข้าง พ่อแม่ แฟน ผู้จัด รุ่นพี่ในวงการ ไม่มีใครสนับสนุนผมสักคน มีแต่ผมคนเดียวที่ยืนยันว่าจะทำ เลิกเล่นละคร แล้วมาโฟกัสแค่งานพิธีกรอย่างเดียว ตั้งใจเหมือนตอนทำละครทุกอย่าง ศึกษางานทุกอย่างอย่างละเอียด แต่ครั้งนี้มีจุดหมายว่าผมจะไม่ลืมใครเอาไว้ระหว่างทางอีกแล้ว อันนี้คงเป็นเรื่องชัดเจนที่สุดที่เริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว
เวลาใครก็ตามได้รับฉายาว่า ‘นิว’ บางอย่างแล้วมักจะกดดันจนเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไป แล้วคำว่า ‘นิว ปัญญา นิรันดร์กุล’ มีส่วนกดดันหรือผลักดันคุณในฐานะพิธีกรมากขนาดไหน
ไม่กดดันนะครับ เพราะผมรู้ว่าผมสามารถเรียนรู้การทำงานจากคุณปัญญาได้ แต่ผมไม่มีทางเป็นอย่างคุณปัญญาได้แน่นอน คนทำงานใกล้ตัวจะพูดคล้ายกันว่าสไตล์ผมเหมือนคุณปัญญามากในเรื่องการคอนโทรลภาพรวมของรายการ แต่ทุกอย่างมันมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป
เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ของผมคือการศึกษาการทำงานของคุณปัญญา ไม่ใช่แค่ไปดูคำพูด การออกท่าทางของเขาแล้ว copy-paste มาใส่ในตัวผม นั่นคือ The Legend นะครับ นั่นคือ The Classic ที่มีได้แค่คนเดียว ผมเคยไปออกรายการ ปริศนาฟ้าแลบ แล้วเห็นวิธีการทำงานของคุณปัญญา นัดกอง 5 โมงเย็น มาถึงปุ๊บ ยืนหน้าเซต มองกล้อง มองไฟ มองทีมงาน แล้วนับอะไรไม่รู้ของแก พอนับ 5 4 3 2 1 ปุ๊บ ใส่ยาวแบบไม่มีเบรกจนถึง 4 ทุ่ม แล้วพูดไม่มีผิดสักคำ โอ้โห นี่มันอะไรวะเนี่ย แล้วการคอนโทรลรายการของแกสุดยอด รู้ว่าคนไหนจะดับก็ดึงคนอื่นมาช่วย เขาตั้งใจ เขาเตรียมตัว เขาใส่พลังงานทุกอย่างลงไปในการเป็นพิธีกร เขาสะสมสิ่งเหล่านั้นมาเป็นหลายสิบปีจนเป็นตำนานมาได้ถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีทางเลียนแบบได้ และไม่มีประโยชน์เลยที่จะกดดันตัวเองเพื่อเป็นแบบเขา
ในฐานะพิธีกรที่มีส่วนร่วมกับรายการที่เป็นปรากฏการณ์ระดับประเทศอย่าง I Can See Your Voice และ The Mask Singer คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่กระแสความนิยมของรายการเริ่มไม่ได้อยู่ในจุดพีกอีกต่อไป
ทุกอย่างมีวงจรชีวิตของมันครับ อย่างน้อยผมและทีมงานทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ที่สุด ก็ไม่มีอะไรที่ต้องรู้สึกไม่ดีแล้ว เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของโทรทัศน์เคยเป็นของละครมาเป็น 10 ปี แต่ I Can See Your Voice และ The Mask Singer ทำให้คนกลับมาดูโทรทัศน์และทำเรตติ้งไปถึงระดับเลขสองหลักได้
อย่างน้อยเราตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าเราสามารถทำให้สถาบันเล็กๆ อย่างสถาบันครอบครัวกลับมานั่งอยู่หน้าจอพร้อมกันแบบไม่ใช่พ่อดูบอล แม่ดูละคร ลูกดูการ์ตูน เราทำให้ทุกคน อาจจะรวมไปถึงคุณปู่คุณย่ามานั่งดูรายการพร้อมกัน แล้วทายว่าคนไหนเสียงเพราะ คนไหนเสียงเพี้ยน หรือทายว่าไอ้คนที่อยู่ใต้หน้ากากพวกนั้นคือใคร ผมเชื่อว่า I Can See Your Voice และ The Mask Singer ทำให้มวลของเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนในครอบครัวกลับคืนมาก็พอแล้ว
ส่วนเรื่องกระแสความนิยมที่ลดลงก็ตอบได้ง่ายมาก เพราะในช่วงรายการมาใหม่ๆ คนดูเพราะความท้าทาย เนื่องจากรูปแบบรายการแปลกมาก แต่พอนานเข้า จากดูเพื่อความท้าทายกลายเป็นดูเพื่อความเพลิดเพลิน เขาไม่สนใจแล้วว่าใครร้องเพราะหรือร้องเพี้ยน แต่เขามาดูว่าคนในรายการเขาจะมาพูด มาเล่นมุก มากวนตีนอะไรกันบ้าง และเมื่อโลกทุกวันนี้มีความท้าทายเกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องที่เราต้องรู้สึกผิดเมื่อคนดูจะไปหาความท้าทายใหม่ๆ มากขึ้น
โจทย์ของทีมงานทุกคนตอนนี้ก็คือต้องหาความท้าทายใหม่ๆ เข้ามาเสมอ คนดูอาจจะเพลิดเพลินหรือเคยชินกับสิ่งที่ดูได้ แต่เราจะเคยชินกับสิ่งที่ทำอยู่ไม่ได้ ตอนนี้เราก็คุยกันอยู่เสมอว่าเราจะหาความท้าทายอะไรใหม่ๆ เข้ามาใส่ในรายการให้คนดูได้อีกบ้าง
เรื่องนี้อาจจะโยงเข้ากับเรื่องความรักได้นิดหนึ่งตรงที่เมื่อเราไปถึงจุดหนึ่งที่ความท้าทายในความสัมพันธ์เปลี่ยนเป็นความเคยชิน เราต้องกลับมาคุยกันว่าเราควรจะทำอย่างไรต่อไปกับวงจรชีวิตของความรักที่เกิดขึ้น
อย่างหนังเรื่อง 7 Days เรารักกัน จันทร์-อาทิตย์ จะให้คำตอบกับคนดูได้อย่างไรบ้าง กับคำถามที่ว่าเราควรจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
ในความรู้สึกของผม เรื่องนี้ไม่ได้ให้คำตอบของความรัก อาจจะไม่ได้ทำให้คุณรู้จักความรักดีขึ้นด้วยซ้ำ แต่หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณมีคำถามกลับไปหาตัวเองถึงความสัมพันธ์ที่คุณกำลังเจออยู่ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่ค่ากลางที่บอกว่าความรักคือแบบนี้หรือควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่เรื่องนี้จะทำให้คุณกลับไปมองความสัมพันธ์ว่าคุณรู้จักความรักที่มีอยู่มากน้อยแค่ไหน
คุณอาจจะถามตัวเองว่าถ้าตอนนี้แฟนของคุณน่ารักมาก ดูแลคุณได้ทุกอย่าง แต่วันหนึ่งถ้าเขาไม่ได้หน้าตาเหมือนเดิม ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ดูแลคุณได้เหมือนก่อน เราจะยังอยู่กับเขาหรือเปล่า หนังทำหน้าที่ให้คำถามกับคุณ ส่วนจะตอบคำถามนั้นอย่างไร คุณต้องเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเอง
ถ้าคนดูเรื่องนี้แล้วได้คำตอบว่าเขาควรยุติความสัมพันธ์นั้นลงล่ะ
อันนั้นเป็นเรื่องของคนดูแต่ละคนเลยครับ ถึงแม้คำตอบอาจจะไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่อย่างน้อยถ้ามันทำให้คุณตอบคำถามกับตัวเองได้ว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่มันใช่หรือไม่ใช่ ผมว่ามันก็เรื่องดีที่ได้รู้คำตอบนั้นเหมือนกันนะ
ตัวอย่างภาพยนตร์ 7 Days เรารักกัน จันทร์-อาทิตย์
- 7 Days เรารักกัน จันทร์-อาทิตย์ เล่าเรื่องความรักอันสุดแสนมหัศจรรย์ของ มีน นักวิจารณ์อาหารสาวสวย และ แทน เชฟหนุ่มนอกระบบที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤตของความรัก เมื่อฝ่ายชายต้องเลือกระหว่างคนรักและการเดินทางตามฝันด้วยการเป็นเชฟที่นิวยอร์ก วันหนึ่งฝ่ายชายหายตัวไปและต้องตื่นมาในร่างของคนอื่นที่ไม่ซ้ำหน้ากัน โดยตลอด 7 วันที่แทนต้องตื่นมาในร่างคนอื่น เขาต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้มีนรู้ว่าเขารักเธอมากแค่ไหน
- นำแสดงโดย กันต์ กันตถาวร, นิษฐา จิรยั่งยืน, อนันดา เอเวอริงแฮม, ตรัย ภูมิรัตน, เมธวัชร์ ทรัพย์แสนยากร และพงศ์พิชญ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล ฯลฯ หนังเข้าฉายวันที่ 19 กรกฎาคมนี้
- ในบรรดา 7 วันใน 1 สัปดาห์ วันที่กันต์ไม่ชอบมากที่สุดคือวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะเขารู้สึกเหนื่อยที่จะต้องไปแย่งการใช้ชีวิตกับผู้คนในสถานที่ต่างๆ
- ล่าสุดความท้าทายในอาชีพพิธีกรของกันต์กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งกับการทำหน้าที่ในรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018 ที่นำรูปแบบรายการ แฟนพันธุ์แท้ แบบคลาสสิกที่ ปัญญา นิรันดร์กุล เคยสร้างตำนานเอาไว้กลับมานำเสนอใหม่อีกครั้ง โดยจะเริ่มออกอากาศตอนแรกวันที่ 6 กรกฎาคม ทางช่องเวิร์คพอยท์