วันนี้ (4 พฤศจิกายน) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความสำเร็จที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียนปีนี้ โดยเฉพาะในส่วนของเสาหลักด้านเศรษฐกิจที่ตนได้ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
โดยประเทศไทยได้มีความพยายามที่จะผลักดันประเด็นสำคัญใน 3 เรื่องใหญ่ เรื่องแรกคือการเตรียมการรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือที่เรียกว่า 4IR กับเรื่องที่สองคือความเชื่อมโยงในระหว่างภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะการส่งสินค้าเข้าออกให้สามารถอำนวยความสะดวกโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก รวมทั้งในเรื่องที่สามคือการเดินหน้าไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการประมง
โดยใน 3 เรื่องนี้มี 13 เรื่องย่อย จนถึงวันนี้สามารถผลักดันไปสู่ความสำเร็จแล้ว 10 เรื่อง เหลือค้างอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งคาดว่า 3 เรื่องนี้สามารถดำเนินการสำเร็จได้ภายในสิ้นปีนี้
ซึ่งใน 3 เรื่องย่อยที่ว่าก็คือ ASEAN Single Window การส่งสินค้าเข้าออกโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ต้องมีการตรวจซ้ำซ้อน ทำให้การส่งสินค้าข้ามแดนผ่านด่านเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เอกสาร ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการอนุมัติการค้าผ่านแดนได้เร็ว ส่วนเรื่องที่ 2 แนวทางการพัฒนานวัตกรรมของอาเซียนที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเจ้าภาพ และคาดว่าจะจบสิ้นในปีนี้ และเรื่องที่ 3 คือการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันโดยใช้อาหารเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นผู้รับผิดชอบ
จุรินทร์กล่าวอีกว่า 3 เรื่องหลักๆ 13 เรื่องย่อยนี้จะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมเสร็จสิ้นก่อนที่จะส่งการเป็นเจ้าภาพให้ประเทศเวียดนามดำเนินการต่อไป
สำหรับ RCEP หรือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ที่แจ้งให้ทราบเวลานี้ได้ก็คือเมื่อวานนี้ (3 พฤศจิกายน) ได้มีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน 16 ประเทศ โดยตนได้ทำหน้าที่เป็นประธาน และได้มีการหารือกันตลอดระยะเวลาตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็น และไปเสร็จสิ้นตอนเกือบเที่ยงคืน ซึ่งสุดท้ายก็ได้มีความเห็นร่วมกันที่จะให้นำแถลงการณ์ร่วม 16 ประเทศของผู้นำเข้าสู่ที่ประชุมในช่วงเย็นวันนี้เพื่อพิจารณาในครั้งสุดท้าย นี่คือความก้าวหน้าล่าสุด
“พูดให้ชัดก็คือ 16 ประเทศมีความเห็นร่วมกันแล้วในการที่จะให้ผู้นำได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมกันในช่วงค่ำวันนี้ ซึ่งเมื่อคืนที่ต้องใช้เวลาในการพิจารณายาวเพราะว่าต้องลึกลงไปในรายละเอียดของแถลงการณ์ร่วมที่มีการพิจารณาด้วยความรอบคอบร่วมกันทั้ง 16 ประเทศ และมีข้อสรุปตรงกันแล้ว รอเข้าสู่ที่ประชุมตอน 5 โมงเย็นโดยประมาณวันนี้ในที่ประชุมระดับผู้นำของ RCEP และให้ท่านนายกฯ ของประเทศไทยเป็นผู้แจ้งให้ทราบต่อไป” จุรินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม จุรินทร์ยังกล่าวอีกว่าต้องรอให้ผ่านที่ประชุมระดับผู้นำเสียก่อนที่แจ้งให้ทราบได้ ก็คือที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นตรงกันแล้วว่าควรออกแถลงการณ์ร่วมของระดับผู้นำ และมีเจตจำนงร่วมกันในการที่จะดำเนินการในเรื่องของรายละเอียดที่ยังเหลืออยู่บ้างในเรื่องการเจรจาเปิดตลาดระดับทวิภาคีของสองประเทศ เพราะยังมีการจับคู่ของประเทศเจรจาเพื่อนำไปสู่การลงนามในปีหน้า โดยขึ้นอยู่กับเวียดนามในฐานะเจ้าภาพในปีต่อไปเป็นผู้กำหนด
ทั้งนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่าเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิต รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ยังได้ร่วมลงนามพิธีสารว่าด้วยกลไกระงับข้อพิพาทของอาเซียนฉบับปรับปรุง ซึ่งเป็นความตกลงที่มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยปรับปรุงจากฉบับเมื่อปี 2547 ให้ทันสมัย เหมาะสมกับสถานการณ์มากขึ้น และให้สอดคล้องกับหลักขององค์การการค้าโลก ซึ่งประเทศอาเซียนรวมทั้งไทยจะสามารถใช้กลไกระงับข้อพิพาทใหม่ของอาเซียนในการใช้แก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่างๆ
ทั้งนี้อาเซียนถือเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย โดยการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนปี 2561 มีมูลค่า 113,792 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ถึง 12.91% โดยไทยส่งออกไปอาเซียนในปี 2561 มูลค่า 68,545 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากอาเซียนมูลค่า 45,247 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเกินดุล 23,298 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการส่งออกของไทยไปอาเซียนในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วน 27% ของการส่งออกทั้งหมด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
