วันนี้ (29 กันยายน) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า หลังจากนี้ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แต่พวกจะไม่ค้านทุกเรื่อง ไม่มีอคติ บุญคุณ หรือความแค้นใดๆ และจะทำงานกับฝ่ายค้านทุกพรรคเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ
“อย่างไรก็ตาม หากดูนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็จะพบว่า ในภาพรวมมีทั้งที่เขียนไว้กว้างเป็นมหาสมุทร แทนที่จะเฉพาะเจาะจง เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่ผมสะดุดเป็นพิเศษในเรื่องนโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพราะล่องหนหายตัว ไม่ปรากฏอยู่ในนโยบายหลายเรื่อง” จุรินทร์กล่าว
จุรินทร์ระบุว่า คำตัดพ้อของรัฐบาลที่ปรากฏในคำแถลงนโยบาย ที่มีข้อจำกัด 3 ข้อ คือ 1.เวลาจำกัด 2.ไม่ได้ทำงบประมาณด้วยตัวเอง 3.เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งประชาชนทราบดีว่าเกิดจากการเมืองภาคพิสดาร ซึ่งรัฐบาลคงจะไปโทษใครไม่ได้ เพราะเลือกทางเดินด้วยความเต็มใจ ซึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คงบวกลบคูณหารแล้วคิดว่าคุ้ม เพราะแลกกับการได้เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นรัฐบาลต่างตอบแทนกับฝ่ายที่ต้องการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งก็อาจจะใช่ แต่เอาเข้าจริงรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่ 4 เดือน แต่อาจจะต้องอยู่ 8-9 เดือน เพราะต้องรอช่วงเวลาการเลือกตั้ง และรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เข้าเฝ้าถวายสัตย์
จุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่าข้อจำกัด ซึ่งมีทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่
1. การที่มีผู้ลงคะแนนเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ขอรับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้นายกรัฐมนตรีเป็น “หนูตกถังข้าวสาร” เพราะมีเก้าอี้รัฐมนตรีให้มาแบ่งปันกันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภา
2. เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหาร ก็มีเงินมากองไว้ทันที ไม่ต้องออกแรง เพราะงบเหลือจ่าย ของปี 2568 รออยู่แล้ว 6 หมื่นล้านบาท ส่วนงบประมาณปี 2569 ก็รอใช้วันที่ 1 ตุลาคมนี้
3. มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้ว โดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือ MOA ที่คิดไว้ให้เสร็จสรรพว่าต้องทำอะไรบ้าง
4. เหลือให้คิดเองแค่ 3 เรื่อง คือนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา การจัด ครม. และการทำนโยบายให้สำเร็จ
จุรินทร์กล่าวว่า ในส่วนการจัด ครม. ขอชมว่าหลายตำแหน่งจัดได้ดี ถูกฝาถูกตัว แต่น่าเสียดายที่มีบางตำแหน่งกลายเป็นชักใบให้เรือเสีย ทำให้ ครม. ชุดนี้ กระดำกระด่างไป ซึ่งเชื่อว่านายกรัฐมนตรีก็คงรู้อยู่แก่ใจ เรื่องโควตาพรรคการเมือง ตนเองก็เข้าใจเพราะเคยเป็นฝ่ายรัฐบาล แต่ขอชมนายกรัฐมนตรีว่า “นายแน่มาก” กล้าตั้งรัฐมนตรีที่รัฐบาลชุดที่แล้วยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงตามรอย เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เมื่ออนุทินตั้งแล้วก็ต้องรับผิดชอบ
จุรินทร์กล่าวว่า ในส่วนคำแถลงนโยบาย เรื่องการตั้งโจทย์ของประเทศ รัฐบาลระบุว่าภาวะนี้มีทั้งหมด 4 ภัย คือเศรษฐกิจ ความมั่นคง ด้านสังคม และภัยพิบัติธรรมชาติ มองว่ายังตั้งโจทย์ไม่ครบ เพราะนายกรัฐมนตรี อาจคิดว่าไม่สำคัญ ภัยที่ว่าคือการทุจริตคอร์รัปชัน ที่เป็นต้นตอของทุกปัญหา
จุรินทร์กล่าวว่า ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ เชื่อว่า หลายคนบ่นว่านโยบายนี้ มาผิดที่ผิดเวลา ประชาชนวิจารณ์ว่าอยากเห็นการแก้ปากท้องมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะบทเฉพาะกาลที่เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านไปแล้ว ซึ่งปัญหาที่เหลือสามารถแก้รายมาตราได้ แต่เมื่อรัฐบาลแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี ก็ต้องรับผิดชอบ โดยขอตั้งคำถาม 2 ข้อ ดังนี้
1. การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวด 1-2 แต่หากมีร่างฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่กำหนดเงื่อนไขดังกล่าว รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่
2. หากการแก้รัฐธรรมนูญ ไปแก้มาตรา 160 (4) (5) เรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ศาล และองค์กรอิสระ ที่ระบุว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และต้องไม่มีพฤติกรรม ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายกรัฐมนตรี จะสนับสนุนให้มีการแก้ต่อไปหรือไม่
จุรินทร์กล่าวว่า ส่วนการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา มีคำถามว่า ที่ คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเขียนไว้ว่า พื้นที่ของเราตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากลที่ถูกครอบครอง จะยึดคืนมาให้หมดด้วยใช่หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่รักษาไว้ แต่อะไรที่สูญเสียไป รัฐบาลมีนโยบายจะเอาคืนกลับคืนมาด้วยใช่หรือไม่ ส่วนเรื่องบ่อนของกัมพูชาที่สร้างล้ำเขตแดนไทยเข้ามา จะจัดการอย่างไร
จุรินทร์กล่าวว่า ส่วนที่รัฐบาลแถลงนโยบายว่าจะทำประชามติ ยกเลิก MOU ที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นฉบับ 43 หรือ 44 ขอถามว่า หากรัฐบาลเห็นว่าควรยกเลิก ทำไมไม่ตัดสินใจเอง เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที และหากจะทำประชามติ จะทำเมื่อไหร่ กี่โมง จะทำพร้อมการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
จุรินทร์กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องโครงการคนละครึ่ง ไม่มีอะไรท้วงติง และขอสนับสนุน เพราะทำเรื่องนี้กันมาสมัย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี มาถึงตอนนี้ก็ดีใจที่รัฐบาลนำมาใช้ สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่คนไทยขาดกำลังซื้อ พ่อค้าแม่ขายกำลังร่อแร่