วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงการอภิปรายเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงมือยางเทียมขององค์การคลังสินค้า (อคส.) จาก ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.จังหวัดนครราชสีมา พรรคเพื่อไทย โดยจุรินทร์ชี้แจงว่า เรื่องนี้เคยตอบกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี โดยตนในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ทำหน้าที่ตอบกระทู้สดแล้ว ซึ่งขอปฏิเสธไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวกับโครงการการดำเนินการแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแบบทางการ ไม่เป็นทางการ หรือแอบสั่งการในที่ลับที่แจ้งใดๆ ก็ตาม
จุรินทร์กล่าวว่า ผู้อภิปรายโกหกหลายประการในที่ประชุมสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่ตั้งกรรมการสอบ การอายัด การดำเนินคดี การดำเนินการเมื่อทราบเรื่อง และการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งทั้งหมดนั้นตนได้ดำเนินการแล้ว โดยเฉพาะทันทีที่ทราบ ได้ประสานงานเรื่องย้ายอดีตรักษาการ อคส. ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม
“เรื่องนี้ตนจะไม่ยอม ไม่ว่าใครทุจริตโครงการ จะจัดการทั้งทางวินัย ทางแพ่ง ทางอาญาจนถึงที่สุด ตราบที่อำนาจหน้าที่และกฎหมายให้ ” จุรินทร์กล่าว
จุรินทร์กล่าวด้วยว่า ผู้อภิปรายกล่าวเท็จกรณีมอบนโยบายเตรียมให้ทุจริตโดยให้ประธานบอร์ดไปดำเนินการซื้อขายถุงมือยาง โดยความจริงคือนโยบายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์ให้ผู้ส่งออก-นำเข้าได้ค้าขายยางออนไลน์รวมทั้งตลาดถุงมือยางนั้นเป็นยางธรรมชาติที่ช่วยเกษตรกรชาวสวนยาง แต่ไม่ใช่ถุงมือยางเทียมที่ส่อทุจริต ซึ่งพูดอยู่ในสภาขณะนี้
การชี้แจงในสภาวันนี้ จุรินทร์ได้ระบุถึงสรุปการจัดการกรณีถุงมือยางเทียม อคส. เมื่อพบในวันที่ 14 กันยายน 2563 ก็ได้ทำการสั่ง พ.ต.อ. รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ จากนั้น 15 กันยายน 2563 มีการตั้งคณะกรรมการสอบทันที ต่อด้วยวันที่ 17 กันยายน 2563 ได้มีการระงับการซื้อขาย และเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2563 เกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ อคส. คนใหม่ได้เข้าแจ้งความต่อทั้ง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
ก่อนที่วันที่ 23 กันยายน 2563 จะเข้าแจ้งความต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากนั้นทางผู้อำนวยการ อคส. คนใหม่ก็ได้รายงานตน 4 ครั้ง เพื่อทราบถึงการดำเนินการส่งเรื่องต่อองค์กรอิสระทั้งหมด ซึ่งกระบวนการของทาง ป.ป.ช. โดยประธานก็ได้มีการให้ข่าวถึงความคืบหน้าแล้ว โดยกระบวนการขององค์กรเหล่านี้เป็นที่ทราบอยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นระดับใดก็จะต้องถูกตรวจสอบ
อย่างไรก็ตาม จุรินทร์ชี้แจงว่า อคส. เป็นรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ส่วนราชการ ที่รัฐมนตรีจะมีอำนาจไปสั่งการทางนโยบายได้ อคส. เป็นรัฐวิสาหกิจเดียวของกระทรวงพาณิชย์ มีพระราชกิจฎีกาโดยเฉพาะเรียกว่าพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้าพุทธศักราช 2498 นี่คือกฎหมายแม่บทที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของทุกฝ่ายไว้ชัดเจนใครไม่ปฏิบัติตามก็ผิดกฎหมาย รัฐมนตรีต้องปฏิบัติตาม ไม่สามารถทำนอกกฎหมายได้ และพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การคลังสินค้ากำหนดความสัมพันธ์ 4 กลไกหลักไว้ ดังนี้ 1. ผู้อำนวยการและพนักงาน 2. กรรมการหรือที่เรียกว่าบอร์ดของ อคส. 3. รัฐมนตรี และ 4. คณะรัฐมนตรี
โดยผู้อำนวยการหรือรักษาการผู้อำนวยการที่มีปัญหานั้น มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 23 ที่ระบุว่าผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่จัดการ และดำเนินกิจการของ อคส. ให้เป็นไปตามนโยบาย และข้อบังคับที่บอร์ดวางไว้ ไม่ใช่รัฐมนตรีวางไว้ สำหรับบอร์ดหรือกรรมการบริหารมีหน้าที่ตามมาตรา 15 ที่ระบุว่ามีองค์ประกอบ 11 คน คนมีอำนาจแต่งตั้งบอร์ดก็ไม่ใช่รัฐมนตรี แต่เป็นอำนาจคณะรัฐมนตรี
มาตรา 17 บอร์ดคือผู้กำหนดนโยบายและเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของ อคส. รวมถึงให้อำนาจบอร์ดเป็นผู้แต่งตั้ง และถอดถอนผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น บอร์ดจึงมีอำนาจกำหนดนโยบาย และมีอำนาจเป็นผู้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการ ส่วนในการแต่งตั้งถอดถอนต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่แต่งตั้งบอร์ดหรือถอดถอนบอร์ดออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่รัฐมนตรี
และมาตรา 20 คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดผลประโยชน์ตอบแทนของบอร์ดผู้อำนวยการและพนักงานทุกคน
“ซึ่งทันทีที่ผู้อำนวยการคนใหม่เข้าไปรับทราบความไม่ชอบมาพากลก็ได้รายงานให้ผมทราบ และไม่ได้แปลว่าหลังจากนั้นผมจะไม่ทำอะไร ผมใช้อำนาจหน้าที่ที่ผมมีอยู่จำกัดการดำเนินการร่วมกับผู้อำนวยการคนใหม่ในหลายประการ และได้ติดตามความคืบหน้าตลอด โดยผู้อำนวยการคนใหม่ได้รายงานมติคณะกรรมการกฎหมายให้มีมติเอกฉันท์เกี่ยวกับสัญญาโมฆะ และรายงานความคืบหน้าเรื่องที่ส่งทั้งดีเอสไอ, ป.ป.ช., ปปง. และผมได้สั่งการให้ดำเนินการเพื่อรักษาประโยชน์ทางราชการอย่างเคร่งครัดในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ได้รายงานครั้งที่สาม และ 1 ธันวาคม 2563 ก็แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อพิรุธในสัญญาที่เหลือ เมื่อพบแล้วก็ได้ทำรายงานต่อ ป.ป.ช. เพิ่มเติมเพื่อจะได้สะดวกในการเร่งรัดการไต่สวน ” จุรินทร์กล่าว
จุรินทร์ระบุอีกว่า รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัดตามพระราชกฤษฎีกา อคส. ฉบับใหม่ ปี 2535 เพราะพระราชกฤษฎีกาใหม่ที่แก้ไขปี 2535 เอารัฐมนตรีออกจากการเป็นประธานบอร์ด เพราะเดิมนั้นรัฐมนตรีไปเป็นประธานบอร์ด แต่เอารัฐมนตรีออกจากประธานบอร์ดแล้วให้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานบอร์ด โดยให้ผู้มีความรู้ความชำนาญทางธุรกิจมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ เพื่อแยกการบริหารกิจการของ อคส.ออกจากการเมือง นี่คือเหตุผลที่รัฐมนตรีเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับบอร์ด และผู้อำนวยการและพนักงาน ไม่มีอำนาจบังคับบัญชา
รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด โดยมาตรา 13 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลโดยทั่วไป ไม่ใช่สั่งปฏิบัติราชการเหมือนกรมที่ผมดูแล และเพื่อการนี้ รัฐมนตรีมีอำนาจ 3 ข้อ 1. มีอำนาจเรียกบอร์ดผู้อำนวยการหรือบุคคลใดใน อคส. มาทำ 3 เรื่อง 1. ให้ชี้แจงข้อเท็จจริง 2. ให้แสดงความคิดเห็น และ 3. หรือให้ทำรายงานยื่น นี่คืออำนาจของรัฐมนตรี และรัฐมนตรีไม่มีอำนาจเหนือกฎหมาย
ส่วนมาตรา 14 เรื่องที่ต้องเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีตามพระราชกฤษฎีกานี้ ให้บอร์ดเสนอผ่านรัฐมนตรีไปยัง ครม. เพื่อพิจารณาตัดสิน แปลว่า รัฐมนตรีคือบุรุษไปรษณีย์โดยให้รัฐมนตรีเป็นตัวผ่านนำเรื่องเข้า ครม.
ขณะที่มาตรา 35 นั้นให้บอร์ดทำรายงานเสนอรัฐมนตรีปีละหนึ่งครั้ง และให้กล่าวถึงผลงาน กล่าวถึงคำชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายของบอร์ด รัฐมนตรีไม่มีอำนาจให้นโยบาย บอร์ดเป็นผู้ให้นโยบาย ให้ชี้แจงรัฐมนตรีปีละหนึ่งครั้งว่า ทำไมออกนโยบายและมีนโยบายอะไรบ้าง
“สรุป รัฐมนตรีมีอำนาจจำกัด แค่ให้บอร์ดชี้แจงแสดงความเห็นทำรายงานยื่น และเสมือนบุรุษไปรษณีย์ เพื่อให้ อคส. เป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองในการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการ บอร์ดมีนโยบายอย่างไร รัฐมนตรีจะไปสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงมิได้ บอร์ดเป็นผู้บังคับบัญชาผู้อำนวยการ และผู้อำนวยการทำตามนโยบายบอร์ด รับผิดชอบต่อบอร์ดในฐานะผู้บังคับบัญชา คณะรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนบอร์ดและผู้อำนวยการ” จุรินทร์กล่าว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์