ในฤดูร้อนของปี 1994 ท่ามกลางเรือยอช์ตลำงามจำนวนมากมายที่จอดอยู่ในท่าเรือมอนติคาร์โล
หนึ่งในนั้นถูกจัดให้เป็นสถานที่นัดพบกันระหว่าง อลัน ชูการ์ ประธานสโมสรท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กับ เจอร์เกน คลินส์มันน์ หนึ่งในกองหน้าระดับซูเปอร์สตาร์ผู้โด่งดังที่สุดของโลก
โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าการพบกันครั้งนั้นจะนำไปสู่หนึ่งในการย้ายทีมที่สร้างความตกตะลึงให้แก่วงการฟุตบอลอังกฤษมากที่สุด เมื่อศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมนี ดีกรีตัวจริงชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 ตอบตกลงที่จะย้ายมาร่วมทีม ‘ไก่เดือยทอง’
การย้ายทีมที่จนถึงวันนี้คือการย้ายทีมที่น่าตื่นเต้นและดีที่สุดในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน
ที่แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็น 2 ฤดูกาลที่มีความหมายในความทรงจำของแฟนสเปอร์สทั่วโลก
ในโลกยุคปัจจุบันที่แทบไม่เหลือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความลับ’ ในการเจรจาซื้อขายย้ายทีม จากการที่มีนักข่าวจำนวนมากเดินตามกระแสการรายงานตลอดทุกย่างก้าว การย้ายทีมสุดช็อกของเจอร์เกน คลินส์มันน์ ในฤดูร้อนของปี 1994 อาจเป็นเรื่องที่อยู่เหนือจินตนาการได้เลย
เวลานั้นโลกยังเป็นแบบ ‘แอนะล็อก’ การติดต่อที่เร็วที่สุดคือการโทรศัพท์ โทรศัพท์มีแค่ไม่กี่ช่อง และผู้คนยังนิยมส่งจดหมายถึงกันด้วยลายมือ เรามีแม้กระทั่งเพื่อนทางจดหมาย (Penpal) ที่จะเขียนส่งหาใครสักคนที่อยู่แสนไกลและรอคอยจดหมายตอบกลับจากเพื่อนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง
แล้วข่าวการย้ายทีม? เราไม่ค่อยรู้อะไรหรอกนอกจากเดินไปดูที่แผงหนังสือพิมพ์ในยามเช้า นั่นถือว่าไวและน่าเชื่อถือมากที่สุดแล้วในวันเวลานั้น

ความไวตามธรรมชาติของการรายงานข่าวแบบแอนะล็อกนี่เองที่ทำให้แฟนทีมสเปอร์สแทบไม่อยากเชื่อสายตา
เมื่อมีภาพของเจอร์เกน คลินส์มันน์ ใส่เสื้อสีขาวของดอกลิลลี (Lillywhite) อันเป็นสีเสื้อประจำสโมสรของพวกเขา พร้อมกับผ้าพันคอสีกรมท่า
ข้างกายของเขาคือ อลัน ชูการ์ นักธุรกิจที่เป็นประธานสโมสรในเวลานั้น
“เจอร์เกน คลินส์มันน์ เปิดตัวในฐานะนักเตะคนใหม่ของท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยจำนวนเงินค่าตัวการย้ายทีม 2 ล้านปอนด์จากสโมสรโมนาโก”
ถ้าจะให้เปรียบเทียบความโด่งดังของคลินส์มันน์ในเวลานั้น ต้องบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นๆ ของโลก ที่ถ้าจะเทียบกับนักเตะในเวลานี้อาจจะเป็นแนว โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี หรือ แฮร์รี เคน แต่เหนือขึ้นไปกว่านั้นอีก
เพราะคลินส์มันน์ มีดีกรีแชมป์โลกที่ได้กับทีมชาติเยอรมันตะวันตกในฟุตบอลโลก 1990 ด้วย และในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา แม้ว่าเยอรมนี (รวมชาติแล้ว) จะป้องกันแชมป์ไม่ได้หลังพ่ายสุดช็อกต่อบัลแกเรียในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่เขาก็ทำได้ถึง 5 ประตูในฟุตบอลโลก
เรียกได้ว่าเป็น ‘ศูนย์หน้าในฝัน’ ของแฟนฟุตบอลทั่วโลกเลย

การที่นักฟุตบอลดีกรีระดับนี้ย้ายทีมจึงเป็นเรื่องใหญ่เสมอ และมันยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นอีกเพราะทีมที่เขาเลือกย้ายทีมมาไม่ได้เป็นทีมเบอร์ท็อปของวงการฟุตบอลอังกฤษในเวลานั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส หรือลิเวอร์พูล
แต่เป็นสเปอร์ส ทีมที่กำลังย่ำแย่กระเสือกกระสนอย่างหนักในฤดูกาลก่อนหน้า (1993/94) และตรงนี้เองที่ทำให้เรื่องนี้เข้าขั้น ‘คลาสสิก’ กับการที่สโมสรที่กำลังย่ำแย่อย่างสเปอร์ส สามารถดึงตัวศูนย์หน้าเบอร์ต้นของโลกมาได้แบบสุดเหลือเชื่อ
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เรือยอชต์ของชูการ์ กับกาแฟอีกหนึ่งแก้ว
ในฤดูร้อนของปี 1994 ที่ท่าเรือในเมืองมอนติคาร์โล เรือยอชต์ของ อลัน ชูการ์ จอดเทียบท่าอยู่อย่างเงียบๆ
การเดินทางไปครั้งนั้นของเขาเป็นเพราะจับ ‘สัญญาณ’ บางอย่างได้ว่ามีโอกาสที่เขาจะได้ตัวศูนย์หน้าซูเปอร์สตาร์อย่างคลินส์มันน์มาร่วมทีม เพราะกองหน้าเยอรมันเริ่มไม่มีความสุขกับการเล่นในทีมโมนาโก ภายใต้การนำของอาร์แซน เวนเกอร์ โดยที่ตัวเขาเองก็ต้องการนักเตะดังๆ สักคนมาเพื่อกระตุ้นทีมที่ประสบปัญหาผลงานเลวร้ายของสเปอร์ส
ชูการ์ ซึ่งได้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวสตาร์อินทรีเหล็กมาจากใครสักคน กดโทรออกหาคลินส์มันน์ด้วยตัวเอง
“เรือของผมจอดอยู่ที่ท่าพอดี คุณพอจะมีเวลามาเจอกันสักหน่อยไหม?”
ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็อยู่ไม่ไกลกัน เพราะอะพาร์ตเมนต์ของคลินส์มันน์ อยู่ในระยะเดินไปถึงท่าเรือแบบไม่ทันเหนื่อย ก่อนที่ชูการ์จะสั่งให้คนเรือชง ‘คาปูชิโน’ ให้กับสตาร์นักเตะ แล้วทั้งสองก็เปิดบทสนทนาประสาคนทุกข์
อย่างที่บอกคนหนึ่งไม่มีความสุขกับทีม อีกคนก็มองหาใครสักคนที่ดังพอ และอังกฤษก็เป็นประเทศที่คิลนส์มันน์ไม่เคยไป มันเลยทำให้ทุกอย่างดูราบรื่นไปหมด
บทสนทนาจบลงด้วยการตกลงกันระหว่างชูการ์และคลินส์มันน์ ส่วนเรื่องการเจรจากับโมนาโกในเรื่องค่าตัวไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สิ่งที่สเปอร์สต้องจ่ายคือเงิน 2 ล้านปอนด์ที่ไม่ได้น้อยแต่ก็ไม่ถึงกับมากมายในยุคสมัยนั้น (สถิติค่าตัวของอังกฤษในตอนนั้นเป็นของคริส ซัตตัน 5 ล้านปอนด์จากนอริชไปแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส)
ก่อนที่คลินส์มันน์จะเดินทางมาเปิดตัวกับสเปอร์สที่ไวท์ ฮาร์ท เลน และกลายเป็นข่าวช็อกวงการ โดยเฉพาะแฟนทีมไก่เดือยทองที่แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าทีมของเขาจะได้ซูเปอร์สตาร์ระดับนี้เข้ามาจริงๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา? บางทีเราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์’

ด้วยความเป็นผู้เล่นระดับ ‘เวิลด์คลาส’ ของจริง เคยอยู่กับสโมสรใหญ่อย่างอินเตอร์ มิลาน ในช่วงที่เซเรีย อา เป็นลีกที่หินที่สุดของโลกมาแล้ว ทำให้แม้จะอยู่กับทีมที่เคยลำบากอย่างสเปอร์ส แต่คลินส์มันน์ก็สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้อย่างรวดเร็วในฤดูกาลแรก
จากจุดเริ่มต้นด้วยการโหม่งทำประตูแรก และฉลองประตูด้วยท่า ‘พุ่ง’ (Dive) ซึ่งมีที่มาจากคำล้อเลียนว่าเขาเป็นนักเตะจอมพุ่งในกรอบเขตโทษ (แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ชอบเอาเสียเลย!) ทำให้แฟนๆ สเปอร์สให้การต้อนรับเขาเข้าสู่ประตูหัวใจอย่างรวดเร็ว แต่มากกว่านั้นคือแฟนทีมอื่น (อาจจะยกเว้นอาร์เซนอล) เองก็พลอยตื่นเต้นไปกับเขาด้วย
เพราะอย่างที่บอกคลินส์มันน์เป็นนักเตะในระดับโลก และในยุคสมัยนั้นฟุตบอลอังกฤษไม่ได้มีผู้เล่นใน ‘คลาส’ ระดับนี้มากมายนัก
การได้ดู คลินส์มันน์ เล่น จึงเป็นหนึ่งในความสุขของแฟนบอลยุคสมัยดังกล่าว เป็นนักฟุตบอลที่คู่ควรต่อการตีตั๋วเข้าไปชมเกมในสนามหรือนั่งถ่างตารอชมฟอร์มการเล่นจากการถ่ายทอดสดทุกครั้งที่มีโอกาส
จุดเด่นของคลินส์มันน์คือเซนส์ในการทำประตูที่อยู่ในระดับสุดยอดของโลก เขาทำประตูได้ทุกรูปแบบอย่างแท้จริง มีจมูกที่ไวต่อการล่าตาข่าย จนได้รับการตั้งสมญาจากผู้อาวุโสวงการข่าวลูกหนังไทยว่า ‘ฉลามขาว’ ที่หากได้กลิ่นคาวเลือดก็พร้อมตะครุบเหยื่อทันที
ในฤดูกาลนั้น (1994/95) เขาทำประตูได้มากถึง 30 ลูกจากการลงสนามทั้งหมด 50 นัด ก่อนจะคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ PFA ซึ่งสำหรับเจ้าตัวบอกว่านี่คือฤดูกาลที่ดีที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขา
ฟุตบอลอังกฤษเองก็เริ่มเปลี่ยนแปลง นักเตะซูเปอร์สตาร์ โดยเฉพาะจากเซเรีย อา เริ่มสนใจอยากย้ายมามากขึ้น (หลังมีกฎบอสแมนที่ทำให้การย้ายทีมเป็นไปอย่างอิสระสำหรับนักเตะที่มีสัญชาติยุโรป) เรียกได้ว่าคลินส์มันน์เป็นผู้จุดกระแสก็ว่าได้
แต่ถึงทุกอย่างมันจะดีแค่ไหน เมื่อจบฤดูกาล คลินส์มันน์ ก็ตัดสินใจอำลาสเปอร์ส เพื่อกลับไปบ้านเกิดกับบาเยิร์น มิวนิคด้วยเหตุผลเดียว
เขาเริ่มอายุมากและอยากจะประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์เป็นเกียรติยศติดตัวให้ได้อีกครั้งก่อนจะไม่มีโอกาสอีก

การจากไปของคลินส์มันน์ในวันนั้นสร้างความเสียใจให้กับแฟนสเปอร์สอย่างมาก แต่ไม่มีใครโกรธหรือเกลียดขนาดนั้น
ในทางตรงกันข้ามความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกันยังคงอยู่ มันถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ลึกๆ ระหว่างใจเสมอ
คลินส์มันน์ทำได้อย่างที่เขาต้องการจริง เขาได้แชมป์บุนเดสลีกากับบาเยิร์น มิวนิค ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติเยอรมนีในฟุตบอลยูโร 1996 แต่ชีวิตของเขาดูเหมือนจะไม่พบความสุขในแบบเดิมอีกเลย
ในปี 1997 เขาตอบรับข้อเสนอจากซามพ์โดเรียที่ทำให้ได้กลับไปเล่นในเซเรีย อา อีกครั้ง แต่ไม่มีความสุขที่นั่น และสถานการณ์นั้นนำไปสู่การย้ายทีมที่ไม่มีใครคาดคิดอีกครั้ง
ฤดูหนาวของปี 1997 ในช่วงเวลาที่สเปอร์สกำลังวิกฤติต้องดิ้นรนในโซนท้ายตาราง คลินส์มันน์กลับมาที่ไวท์ ฮาร์ท เลน อีกครั้งเพื่อ ‘ปิดจ็อบ’ ของเขาในแบบที่ไม่มีใครอยากเชื่อ
อย่างแรกคือไม่อยากเชื่อว่าคลินส์มันน์จะกลับมา
อย่างต่อมาคือไม่อยากเชื่อว่าในวัยโรยราเขาจะยังคงทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมอีก
จริงอยู่ที่ผลงานของตัวเขาเองกับสเปอร์ส อาจจะไม่ได้ร้อนแรงเหมือนฤดูกาลแรกในความฝัน แต่การกลับมาของเขาที่ผนึกกำลังร่วมกับ เลส เฟอร์ดินานด์ และดาวิด ชิโนลา ช่วยทำให้สเปอร์สกลับมาเป็นทีมที่มีชีวิตชีวาอีกครั้ง และสุดท้ายก็สามารถพาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ
หนึ่งในเกมที่อยู่ในความทรงจำของแฟนสเปอร์ส คือวันที่เขาระเบิดฟอร์มกดคนเดียว 4 ประตูในเกมที่พบกับวิมเบิลดัน ซึ่งเป็นหนึ่งในนัดสำคัญต่อการลุ้นหนีตกชั้นของทีมในฤดูกาลนั้น (1997/98) ด้วย
จบฤดูกาลนั้น คลินส์มันน์ทำเหมือนเดิมคือเขาตัดสินใจไปจากสเปอร์ส
แต่สิ่งแตกต่างออกไปจากครั้งที่แล้วคือเขาไม่ได้ไปที่ไหนอีก คลินส์มันน์ประกาศแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาลนั้น
การกลับมาช่วยสเปอร์สได้สำเร็จเป็นการบอกรักและบอกลากันครั้งสุดท้ายที่งดงามที่สุด
และนั่นทำให้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน สเปอร์สและคลินส์มันน์ ยังมีที่ว่างพิเศษระหว่างกันและกันในหัวใจเสมอ
ไม่มีวันลืม


