×

สังเวียนสอบสวนวินัย สมการตัดสินชีวิตตำรวจ ‘พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล’

โดย THE STANDARD TEAM
03.05.2024
  • LOADING...

ตามมาตรา 112 ของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ได้ระบุถึง 10 ลักษณะการกระทำความผิดของข้าราชการตำรวจที่ถือว่าเป็น ‘การทำผิดวินัยร้ายแรง’ 

 

ซึ่งมีตั้งแต่ การปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์เป็นเหตุให้เกิดความเสียหาย, การล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ, การละทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มีเหตุอันควร, การดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ ข่มเหง ทำร้ายประชาชน 

 

ไปจนถึง การประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งในที่นี้มีผู้นิยามคำว่า ‘ชั่วอย่างร้ายแรง’ ว่าเป็นการกระทำที่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติต่อการเป็นตำรวจ และทำให้เกียรติของหน่วยงานราชการตำรวจได้รับความเสียหาย เช่น การสมคบโจร

 

แม้วันนี้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่ในทางพฤตินัย พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ยังถือว่าเป็นตำรวจ เพียงแต่ถูกพักงานเท่านั้น

 

ฉะนั้นขั้นตอนการสอบสวนวินัยร้ายแรงที่กำลังเดินหน้าอยู่ ณ ขณะนี้ จะเป็นอีกหนึ่งสมการตัดสินชะตาชีวิตการเป็นตำรวจของ ‘พล.ต.อ. สุรเชษฐ์’ 

 

ที่มาการถูกตั้งสอบ ‘วินัยร้ายแรง’ 

 

ต้นเรื่องของการตั้งกรรมการสอบวินัยตามคำสั่ง พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (หนังสือคำสั่ง ตร. ที่ 179/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567) ที่มี พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ พร้อมคณะกรรมการรวม 14 คน 

 

เพื่อสอบสวน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ และผู้ใต้บังคับบัญชารวม 5 ราย ได้แก่ 

  1. พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
  2. พ.ต.อ. กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา
  3. พ.ต.ท. คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ
  4. ส.ต.อ. ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1 กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร
  5. ส.ต.อ. ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร

 

สืบเนื่องมาจากกรณีของ พ.ต.ท. คริษฐ์ ที่ก่อนหน้านี้ถูกตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการตั้งคณะกรรมการสอบสวน (คำสั่งที่ 746/2566 ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2566 และคำสั่งที่ 114/2567 ลงวันที่ 6 มีนาคม 2567) กรณีต้องหาคดีอาญาฐานสมคบฟอกเงินเว็บพนัน BNK Master ของสถานีตำรวจนครบาล (สน.เตาปูน) (คดีอาญาที่ 391/2566)

 

ซึ่งจากการสอบสวนของคณะกรรมการ (ชุดที่สอบ พ.ต.ท. คริษฐ์) มีการพาดพิงไปถึง ‘ข้าราชการตำรวจผู้อื่นว่ามีส่วนร่วมในการกระทำการในเรื่องที่ทำการสอบสวน’ ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าเป็นกรณีข้าราชการตำรวจตำแหน่งต่างกัน และอยู่ต่างสังกัดกันถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงร่วมกัน 

 

จึงให้ผู้มีอำนาจสำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่มีตำแหน่งสูงกว่า หรือผู้มีอำนาจพิจารณาสั่งการสำหรับผู้ถูกกล่าวหาทุกคนเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนอาศัยอำนาจตามความใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 105, มาตรา 108, มาตรา 119 และมาตรา 179 ประกอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 108/2567 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2567

 

‘จะได้อยู่ต่อ’ หรือ ‘ออกถาวร ‘อาจรู้ผลใน 240 วัน 

 

หากอ้างอิงตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณากรอบเวลาในการสอบสวนวินัยร้ายแรง รวมทั้งกระบวนการจนออกเป็นหนังสือคำสั่ง จะอยู่ที่ประมาณ 8 เดือน หรือ 240 วัน ไล่เป็นลำดับต่อไปนี้

 

  1. เรียกประชุมคณะกรรมการที่แต่งตั้ง ภายใน 15 วัน
  2. คณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐาน ภายใน 60 วัน
  3. แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหา ภายใน 15 วัน
  4. ผู้ถูกกล่าวหารวบรวมพยานหลักฐานมาชี้แจง ภายใน 60 วัน
  5. คณะกรรมการประชุมลงมติ ภายใน 30 วัน
  6. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกคำสั่ง ภายใน 60 วัน

 

แต่ทั้งนี้ปัจจัยว่าจะจบเร็วหรือช้าย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายส่วน ตั้งแต่ขั้นที่ 1 เลย คือกรณีที่กรรมการสอบสวนมาไม่ครบจนต้องเลื่อนการประชุม, มีการคัดค้านกรรมการในการสอบสวน, พยานหลักฐานมีมากต้องใช้เวลารวบรวม หรือผู้ถูกกล่าวหาเจตนาประวิงเวลา

 

อย่างในกรณีชุดสอบฯ ของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ สิ่งที่น่าเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นและส่งผลให้เวลายืดยาวออกไปคือ พล.ต.อ. สราวุฒิที่เป็นประธานคณะกรรมการฯ เกษียณอายุราชการก่อนขั้นตอนทั้งหมดจะจบ ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น แน่นอนว่าจะต้องมีการแต่งตั้ง ประชุม และมอบหมายการทำงานสู่คณะทำงานชุดใหม่ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทิศทางเดียวกันในการสอบสวน

 

แต่อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะยังไม่เคยเกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือกระบวนการข้อที่ 6 ว่าด้วยเรื่องที่ ผบ.ตร. เมื่อรับมติจากคณะกรรมการมาแล้วจะต้องออกคำสั่งว่าจะดำเนินการอย่างไรกับผู้ถูกกล่าวหา 

 

ถ้า ผบ.ตร. ไม่สามารถออกคำสั่งได้ภายในเวลา 60 วัน จะต้องมีการขยายเวลาต่ออีก 30 วัน โดยเมื่อถึงขั้นนี้แล้วนายกฯ จะเป็นผู้ออกคำสั่งเอง รวมไปถึงลงโทษ ผบ.ตร. ที่ไม่สามารถออกคำสั่งได้ด้วย

 

ซึ่งในที่นี้ หากกระบวนการทางอาญาจบก่อน การสอบสวนวินัยสามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าตัวผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำผิดทางอาญาจริง ต้องโทษตั้งแต่จำคุกขึ้นไปก็จะถือว่าผู้ถูกกล่าวหา (ที่ถูกสอบวินัยอยู่) มีความผิด ‘ปรากฏชัดแจ้ง’ ผู้นั้นจะถูกลงโทษวินัยทันทีตามกฎ ก.ตร. โดยไม่ต้องตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงอีกต่อไป

 

ขาของ ‘วินัย’ และ ‘อาญา’ เดินหน้าไปด้วยกัน แต่ไม่อิงผลกัน

 

จากกรณีของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ที่ขณะนี้เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีทางอาญาด้วยนั้น ตามมาตรา 122 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 ระบุไว้ว่า ‘ในการดำเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการตำรวจ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าคดีมีมูลเหตุแห่งความผิดทางอาญา และได้มีการดำเนินคดีอาญาด้วย ไม่เป็นเหตุให้ต้องชะลอการดำเนินการทางวินัย แม้ว่าจะเป็นการดำเนินคดีอาญาในเรื่องเดียวกันหรือเกี่ยวเนื่องกันก็ตาม’

 

สรุปได้ว่า แม้จะถูกสอบในคดีอาญาอยู่ก็สามารถถูกสอบทางวินัยได้เช่นกัน แต่ผลของคดีอาญาและผลวินัยไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป ซึ่งอาจเป็นได้ตามกรณีต่อไปนี้

 

‘คดีอาญาถือว่าไม่มีความผิด แต่ผลทางวินัยถูกตัดสินว่าผิด’ ผู้นั้นจะต้องรับโทษทางวินัย แต่หากมีการตัดสินโทษทางวินัยเสร็จสิ้นก่อนคดีทางอาญา ผู้บังคับบัญชาสามารถพิจารณาทบทวนการลงโทษทางวินัยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับทางอาญาได้

 

ซึ่งนั่นหมายความว่า หากมีการลงโทษทางวินัยโดยสั่งปลดออก หรือไล่ออกแล้วศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดอาญาหรือจำเลยมิได้กระทำความผิด ผู้บังคับบัญชาสามารถพิจารณาทบทวนการดำเนินการทางวินัย

 

โดยนำคำพิพากษาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วย หากผลการพิจารณาสอดคล้องกับผลของศาลพิพากษา ให้แก้ไขคำสั่งให้ถูกต้อง และมีคำสั่งให้รับข้าราชการตำรวจผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ แต่ถ้าผู้นั้นพ้นจากราชการไปก่อนแล้ว ให้เยียวยาชดเชยตามความเป็นธรรมแก่กรณี

 

และอีกหนึ่งทางที่อาจเกิดขึ้นได้แม้ผู้ถูกกล่าวหาจะไม่มีความผิดทางอาญา เพราะถ้าตราบใดก็ตามที่ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเห็นว่า การกลับเข้ามารับราชการตำรวจของผู้นั้นจะก่อให้เกิดความมัวหมองต่อหน่วยงานราชการ ก็สามารถไม่พิจารณาให้ผู้นั้นกลับมาเป็นตำรวจได้

 

ชะตาชีวิตตำรวจ ‘พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ’ จะเป็นไปทางใดได้บ้าง

 

THE STANDARD ได้ประเมินฉากทัศน์การถูกสอบวินัยร้ายแรงของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ไว้ 3 ทาง ดังนี้

 

  • ทางที่ 1 คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ‘ผิดวินัยร้ายแรง’ จะมีคำสั่งให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ถูกปลดออกจากราชการ แต่ยังได้รับสิทธิสวัสดิการในฐานะข้าราชการตำรวจ 

 

อีกหนึ่งคำสั่งที่เกิดขึ้นได้ คือไล่ออกจากราชการ ซึ่งหากเป็นคำตอบนี้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ จะไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการใดๆ ทั้งสิ้น

 

  • ทางที่ 2 คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ‘ไม่ผิดวินัยร้ายแรง แต่ประพฤติตนไม่เหมาะสม’ จะมีคำสั่งให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับมาเป็นข้าราชการตำรวจ แต่อาจมีบทลงโทษหรือภาคทัณฑ์

 

  • ทางที่ 3 คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ‘ไม่ผิดวินัยร้ายแรง’ จะมีคำสั่งให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับมาเป็นข้าราชการตำรวจดังเดิม โดยให้ถือว่าคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อนในก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น และให้ได้รับสิทธิสวัสดิการตามสมควรทุกประการ

 

ในสังเวียนการสอบสวนวินัยร้ายแรงของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่สามารถจบลงได้ที่ระยะเวลา 240 วัน และอาจยืดยาวใช้เวลาถึง 1 ปีกับอีก 6 เดือน เพราะมีรายงานว่า พล.ต.อ. สุรเชษฐ์เองได้ดำเนินการคัดค้านตัวคณะกรรมการมากกว่าครึ่งหนึ่งของคณะ 

 

เนื่องด้วยเหตุผลความสัมพันธ์ระหว่างคณะกรรมการเหล่านั้น กับคู่ขัดแย้งที่มีอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงทำให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถูกตัดสินโทษวินัยร้ายแรง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X