ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) หั่นประมาณการส่งออกไทยปีนี้เหลือติดลบ 1.0-0.0% แต่ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะรอดพ้น Technical Recession ได้ แม้ว่า GDP ไตรมาส 4 ปี 2565 หดตัวแบบไตรมาสต่อไตรมาส เหตุท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง
วันนี้ (1 มีนาคม) เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนมีนาคม 2566 กล่าวว่า การส่งออกของไทยมีแนวโน้มหดตัวต่ออีกระยะหนึ่ง เนื่องมาจากกิจกรรมภาคการผลิตของโลกที่ยังอยู่ในภาวะหดตัว ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ที่ทำให้ธุรกิจทั่วโลกเลี่ยงการสต๊อกสินค้าคงคลัง รวมถึงการปรับสมดุลระดับสินค้าคงคลัง หลังจากความต้องการสินค้าที่ได้อานิสงส์จากโควิด โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับการ Work from Home เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลดลง นอกจากนี้ มูลค่าสินค้าส่งออกยังมีแนวโน้มลดลงตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กูรูแนะกลยุทธ์นักลงทุนในปี 2023 ศึกษาตลาด อย่าหวั่นไหว และรู้ข้อจำกัดตนเอง
- สินทรัพย์ไหนรุ่ง/ร่วง? เปิด 5 คำทำนายจากผู้จัดการกองทุนต่างๆ สำหรับปี 2023
- โปรดระวังดอลลาร์ ‘กลับทิศ’ กระทบเศรษฐกิจโลก
ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย มีมติปรับลดประมาณการมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยทั้งปี 2566 ลงเหลือติดลบ 1.0-0.0% เทียบกับประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 1.0-2.0%
โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นปัจจัยฉุดส่งออกไทยในปีนี้ เกรียงไกรระบุว่า เป็นกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ ไปจนถึงกลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สวนทางกับกลุ่มสินค้าอาหารและการเกษตรที่น่าจะเป็นกลุ่มสินค้าไม่กี่กลุ่มที่ยังคงโตได้ในปีนี้ ท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ
กกร. มองไทยรอด Technical Recession
อย่างไรก็ตาม กกร. ไม่คาดว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะ Technical Recession แม้ว่า GDP ไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 จะหดตัว 1.5% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนเศรษฐกิจในไตรมาสแรกให้ฟื้นตัวได้ และคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีจะเพิ่มสูงถึงราว 25-30 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิมที่ราว 22 ล้านคน ที่ประชุม กกร. จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.0-3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7-3.2%
นอกจากนี้ กกร. ยังมองว่า เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเกิดภาวะถดถอยลดลง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศหลักในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคบริการที่ปรับตัวดีขึ้น เช่น การเดินทาง ท่องเที่ยว และการก่อสร้าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังเติบโตได้จากภาคบริการเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งภาคการผลิตยังคงหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 8 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไปอีกระยะหนึ่ง
วอนดูแลเสถียรภาพ ‘เงินบาท’ หลังผันผวนหนัก
ที่ประชุมยังย้ำว่า ประเด็นเรื่องค่าแรง ความผันผวนของค่าเงินบาท และต้นทุนค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยท้าทาย ซึ่งส่งผลกระทบกับการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนจึงอยากให้ภาครัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นการแก้ไขปัญหา รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถปรับตัวรับความเสี่ยงผลจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความคิดเห็นว่า เนื่องจากภาคการส่งออกจะมีแนวโน้มชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ดังนั้นเศรษฐกิจไทยควรให้ความสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เร่งการใช้จ่ายภาครัฐในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล รวมทั้งอาศัยโอกาสจากภาคการท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวต่อเนื่องในช่วงนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวที่จะกระจายรายได้สู่ชุมชน ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้ในกรอบประมาณการเศรษฐกิจเดิม