เมื่อสองปีที่แล้วภาพยนตร์แนวลึกลับ สยองขวัญ Get Out ผลงานการกำกับครั้งแรกในชีวิตของ จอร์แดน พีล กลายเป็นงานที่มีกระแสตอบรับที่ดีมากในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของคำวิจารณ์หรือรายรับอันมหาศาลที่ได้จากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก จุดเริ่มต้นตรงนั้นเองที่ทำให้ชื่อของนักแสดง นักเขียน ผู้กำกับภาพยนตร์ โปรดิวเซอร์ชาวอเมริกันวัย 40 ปี คนนี้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ในปีนี้เขากลับมาสานต่อความสำเร็จของตัวเองกับภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่องใหม่ Us ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังอย่างมาก หลังจากที่เพิ่งเปิดตัวและเข้าฉายในอเมริกาอย่างเป็นทางการไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก่อนจะไปพูดถึงตัวหนัง เรามาทำความรู้จักกับชายคนนี้ให้ลึกขึ้นอีกสักนิด
จอร์แดน ฮาเวิร์ธ พีล คือนักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ผิวสีชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ปี 1979 เขาเกิดและเติบโตขึ้นมาจากย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ เขตแมนฮัตตันในเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์ก โดยมีคุณแม่ ลูซินดา วิลเลียมส์ เป็นผู้เลี้ยงดูเขาเพียงลำพัง
พีลจบการศึกษาวิชาคอมพิวเตอร์จาก The Calhoun School โรงเรียนในแมนฮัตตัน และเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยซาราห์ลอว์เรนซ์ ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกหลังจากที่เรียนไปได้เพียงสองปี เพื่อไปฟอร์มทีมตลกกับ รีเบกกา ดรายส์เดล (Rebecca Drysdale) รูมเมตสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ที่ในอนาคตกลายมาเป็นคนเขียนบทให้กับรายการตลกที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่าง Key & Peele
จะว่าไปแล้ว จอร์แดน พีล เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นคอเมเดียนหรือนักแสดงสายตลกเพียงอย่างเดียวจริงๆ เพราะหากเราสังเกตดูจะเห็นว่า ส่วนใหญ่บทบาทในวงการบันเทิงของเขานั้นจะมีแต่บทสายคอเมดี้แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือทีวีซีรีส์
ตลอดเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาในวงการบันเทิง พีลมีโอกาสได้แสดงในภาพยนตร์และทีวีซีรีส์มากมายหลายเรื่องหลายรายการ แต่ผลงานที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจริงๆ น่าจะเป็นรายการตลกอย่าง Mad TV (2003-2008) ผลงานเดบิวต์เข้าวงการบันเทิง รวมไปถึง Key & Peele (2012-2015) ผลงานสร้างชื่อที่เขาทำร่วมกับคู่หูสายตลก ซึ่งทั้งสองคนมีโอกาสได้ร่วมงานกันหลายครั้ง นอกจากนั้นยังมีบทบาทการแสดงในภาพยนตร์ อาทิ Little Fockers (2010), Wanderlust (2012), Keanu (2016), Storks (2016)
ปี 2017 น่าจะเรียกได้ว่าเป็นปีที่ จอร์แดน พีล ประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิต เมื่อนักแสดงสายคอเมดี้อย่างเขาต้องผันตัวเองมาจับงานกำกับเป็นครั้งแรก และสิ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือการที่เขาเลือกทำภาพยนตร์แนวสยองขวัญอย่าง Get Out (2017) โดยรับตำแหน่งทั้งโปรดิวซ์ เขียนบท และกำกับภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
ณ ตอนนั้นคงไม่มีใครคิดว่าอยู่ดีๆ คนที่คลุกคลีอยู่กับงานสายตลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองถนัดและเป็นภาพที่ผู้คนจดจำเสมอมา แต่ได้โอกาสทำหนังสักเรื่อง เขากลับเลือกทำหนังสยองขวัญ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกลกับคำว่าตลกมากๆ
แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเส้นทางที่ จอร์แดน พีล เลือกเดินจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง เพราะทันทีที่ Get Out ออกฉายเมื่อปี 2017 มันก็ประสบความสำเร็จเลย ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์อยู่ในระดับดีเยี่ยม แถมทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ โดยแค่สัปดาห์แรกที่เข้าฉายก็กวาดเงินไปราว 33 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่ตัวเลขจะไปจบอยู่ที่ 255 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับหนังเล็กๆ ที่มีทุนสร้างเพียงแค่ 4.5 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง
มากไปกว่านั้นในปี 2018 Get Out ยังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (แดเนียล คาลูยา) ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถคว้ามาได้หนึ่งรางวัลคือบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม อีกทั้งรางวัลออสการ์ตัวนี้ยังทำให้ จอร์แดน พีล กลายเป็นคนผิวสีคนแรกที่สามารถเอาชนะรางวัลออสการ์ในสาขาดังกล่าวได้
จากความสำเร็จมากมายที่เกิดขึ้นกับ Get Out มันก็ทำให้เขาโด่งดังมากขึ้นกว่าเดิม แถมกลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่น่าจับตามองอีกคนของฮอลลีวูด โดยหลังจากที่คว้าออสการ์ตัวแรกมาครองได้ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองที่พีลออกมาประกาศลาขาดจากการแสดง ซึ่งเขาให้เหตุผลกับการตัดสินใจครั้งนี้ว่า การแสดงมันไม่สามารถให้ความสนุกกับเขาได้เท่ากับการเป็นผู้กำกับอีกต่อไปแล้ว
ทั้งนี้แม้ว่า Get Out จะประสบความสำเร็จมากขนาดไหน แต่แน่นอนว่าอะไรที่มีคนชอบก็ย่อมต้องมีคนเกลียด และด้วยความที่ จอร์แดน พีล ดันประสบความสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่จับงานเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ซะด้วย นั่นเลยทำให้มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ออกมาผลักความกดดันและตั้งคำถามใส่พีลว่า เขาเก่งจริงหรือว่ามันเป็นแค่ความบังเอิญกันแน่
ตลอดสองปีนับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาได้ดื่มด่ำกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความสำเร็จ’ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องทนอยู่กับการตั้งคำถามและคำปรามาสในฝีมือจากคนบางกลุ่มที่คิดว่าความสำเร็จที่เขาได้มานั้นมันเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ ล่าสุดเดือนมีนาคมปี 2019 จอร์แดน พีล กลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งพร้อมกับ Us ภาพยนตร์หลอนจิตเรื่องใหม่ที่เขาทั้งโปรดิวซ์ เขียนบท และลงมือกำกับภาพยนตร์เองเช่นเดิม
Us ภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของ จอร์แดน พีล เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ณ เทศกาลภาพยนตร์ South by Southwest ก่อนจะออกฉายอย่างเป็นทางการที่สหรัฐอเมริกาและยึดอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศได้ทันทีด้วยจำนวนเงิน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเข้าฉายไป 3,741 โรงภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าตอนเปิดตัว Get Out ถึงสองเท่าเลยทีเดียว นอกจากนั้น Us ยังกลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ในประวัติศาสตร์ เป็นรองแค่ภาพยนตร์อย่าง It (2017) ที่ทำเงินวันฉายเปิดตัวไปทั้งหมด 123 ล้านเหรียญสหรัฐ และภาคต่อของ Halloween ซึ่งออกมาเมื่อปีที่แล้ว ทำรายได้วันเปิดตัวไป 76 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบัน Us กวาดรายได้ทั่วโลกไปแล้วกว่า 93 ล้านเหรียญสหรัฐ
ตอนนี้เส้นทางในการฉายของ Us ยังอีกยาวไกล ดูแล้วตัวหนังน่าจะประสบความสำเร็จตามรอย Get Out ได้ไม่ยาก ดีไม่ดี จอร์แดน พีล อาจจะคว้ารางวัลออสการ์ตัวที่สองของตัวเองจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้ ซึ่งเราก็ต้องมาคอยดูกันว่าทั้งตัวหนังและตัวผู้กำกับอย่างเขาเองจะสามารถก้าวไปอยู่ตรงจุดนั้นได้หรือไม่
ด้วยกระแสตอบรับและรายได้จากวันฉายเปิดตัวที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มันก็พิสูจน์ให้เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความสำเร็จที่ จอร์แดน พีล ได้รับจากภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขากำกับอย่าง Get Out นั้นมันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นเพราะฝีมือของตัวเขาเองจริงๆ
“ตอนทำ Get Out ผมก็กลัวมันจะออกมาไม่ดีนะ เพราะหนังมันเจ๊งแน่นอนถ้าเราทำออกมาไม่ดี แต่กับ Us ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นเลย ผมกลัวคนดูจะไม่ชอบมันมากกว่า กลัวว่าจะทำให้พวกเขาผิดหวัง เพราะมีหลายคนมากที่คิดว่าหนังเรื่องนี้มันจะต้องออกมาเป็น Get Out 2 ซึ่งมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ถ้าพวกเขารู้ว่าหนังเรื่องนี้มันแตกต่างจาก Get Out โดยสิ้นเชิง” จอร์แดน พีล กล่าวถึงความกดดันในช่วงที่กำลังทำภาพยนตร์เรื่อง Us
ปัจจุบันดูเหมือนว่า จอร์แดน พีล จะค้นพบแนวทางการทำภาพยนตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว โดยทั้ง Get Out และ Us เราจะสังเกตเห็นสิ่งที่เหมือนกันอยู่หลายอย่าง ซึ่งหากเปรียบสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนลายเซ็น หนังทุกเรื่องของ จอร์แดน พีล ก็จะต้องมีลายเซ็นเหล่านี้กำกับไว้อยู่เสมอ อย่างที่หนึ่งคือความสยองขวัญ สองคือการใช้ตัวละครผิวสีเป็นตัวละครเอก สามคือเนื้อเรื่องที่ชอบให้ตัวละครหลักเดินทางกลับไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเสมอ เช่น บ้านเกิด
บอกตามตรงเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพีลจะยังคงยึดสิ่งเหล่านี้เอาไว้เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้บ่งบอกถึงตัวตนในหนังเรื่องต่อๆ ไปของเขาอีกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ณ ปัจจุบัน เขากลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับฝีมือฉกาจที่ทำหนังสยองขวัญได้น่าสนใจที่สุดคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดไปแล้ว
Cover Photo: Courtesy of UPI
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- en.wikipedia.org/wiki/Jordan_Peele#Film
- www.hollywoodreporter.com/heat-vision/box-office-jordan-peeles-us-opens-terrifying-703m-1196736
- www.hollywoodreporter.com/heat-vision/us-trailer-breakdown-movies-inspired-jordan-peele-1171652?utm_source=t.co&utm_medium=referral
- www.hollywoodreporter.com/heat-vision/us-review-roundup-what-critics-are-saying-1193079
- www.theguardian.com/film/2019/mar/09/jordan-peele-on-us-this-is-a-very-different-movie-from-get-out