×

ตำรวจเชื่อ เรือของกลางน้ำมันเถื่อนที่หายเป็นของ ‘โจ้ ปัตตานี’ กำลังมุ่งหน้ากัมพูชา ยืนยันหลังจับกุมถอดพวงมาลัย-ระบบจีพีเอสแล้ว

โดย THE STANDARD TEAM
13.06.2024
  • LOADING...
โจ้ ปัตตานี

วันนี้ (13 มิถุนายน) ที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้ากรณีเรือบรรทุกน้ำมันของกลางจำนวน 3 ลำ สูญหายพร้อมน้ำมันกว่า 300,000 ลิตร เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมตรวจสอบเรือที่เหลืออยู่อีก 2 ลำ ที่จอดอยู่ที่บริเวณท่าเทียบเรือ

 

โดย พล.ต.ต. จรูญเกียรติทำการสอบสวนนายตำรวจที่เข้าเวรรักษาการณ์ในคืนเกิดเหตุทั้ง 2 นาย สั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและสอบปากคำลูกเรือที่เหลืออยู่ทั้งหมดจำนวน 10 คน

 

พล.ต.ต. จรูญเกียรติระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายหรือเจ้าของเรือมาแสดงตัวเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ ส่วนการติดตามเรือที่สูญหายเป็นการบูรณาการร่วมกันของตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าเรือบรรทุกน้ำมันทั้ง 3 ลำไม่ได้จมทะเลตอนที่สภาพอากาศแปรปรวน แต่เชื่อว่ามีการนำพาไปโดยคนขับที่มีความรู้เฉพาะทาง เนื่องจากก่อนหน้านั้นตำรวจได้ตรวจยึดและถอดอุปกรณ์เดินเรือและ ระบบนำทาง (จีพีเอส) ออกจากตัวเรือแล้ว

 

ในเบื้องต้นพบว่ามีนายตำรวจที่จะต้องถูกดำเนินคดีฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ ตามมาตรา 157 และมาตรา 148 ส่วนจะเป็นใครบ้าง ขอเวลาในการตรวจสอบในรายละเอียด ซึ่งขณะนี้สั่งการให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เร่งคลี่คลายคดี

 

พล.ต.ต. จรูญเกียรติกล่าวต่อว่า การสืบสวนพบว่าเรือทั้ง 3 ลำที่หายไปเป็นของ ‘โจ้ ปัตตานี’ ผู้มีอิทธิพลค้าน้ำมันเถื่อนของภาคใต้ ส่วนเส้นทางการหลบหนีคาดว่าเดินทางจากท่าเทียบเรือสัตหีบมุ่งไปยังน่านน้ำของประเทศกัมพูชา ระยะทางรวมประมาณ 240 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง เนื่องจากเรือมีน้ำหนักมาก ทำความเร็วได้ไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าจะไม่มีการปล่อยทิ้งน้ำมันในทะเลเนื่องจากมีมูลค่า ดังนั้นต้องมีการนำไปจำหน่ายที่ประเทศกัมพูชา เพราะทางการข่าวรายงานว่า โจ้ ปัตตานี พักอาศัยอยู่ประเทศกัมพูชา

 

อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า ภายในวันนี้จะมีการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติหน้าที่ช่วยราชการที่ส่วนกลาง จำนวน 5 นาย ประกอบด้วย ตำรวจชั้นประทวนที่เฝ้าเวรรักษาการณ์ในวันเกิดเหตุ จำนวน 2 นาย ผู้บริหารสถานี 1 นาย และผู้บังคับบัญชา 2 นาย เพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างโปร่งใส

 

เมื่อถามว่าภาพลักษณ์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะเป็นหน่วยใหญ่ของกองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) จะเสียหายหรือไม่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติยืนยันว่าไม่ใช่การเสียหน้า แต่ทุกอย่างจะต้องมีการสอบสวนอย่างละเอียด ว่ามีบุคคลใดที่เข้าข่ายบกพร่องหรือทุจริต ซึ่งจะดำเนินการลงโทษโดยไม่ละเว้น

 

ด้าน พ.ต.อ. อินทรัตน์ ปัญญา ผู้กำกับการ 5 บก.รน. เปิดเผยว่า สำหรับคดีน้ำมันเถื่อนที่ตรวจยึดทั้ง 5 ลำ เป็นการจับกุมของตำรวจ บก.ปอศ. ยืนยันว่าถอดชิ้นส่วนการเดินเรือ เช่น พวงมาลัยเดินเรือ และระบบนำทางออกแล้ว

 

ตามระเบียบการเก็บรักษาของกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ระบุไว้ว่า ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาตลอด 24 ชั่วโมง แต่ในวันดังกล่าวเกิดสภาวะอากาศแปรปรวนและมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จึงมอบหมายให้ผู้ต้องหานำเรือออกไปจอดและทอดสมอกลางทะเล แต่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บนสะพานสังเกตการณ์อย่างชัดเจน ซึ่งวันดังกล่าวในช่วงเวลากลางคืน เวลา 20.11 น. ยังพบเรือทอดสมออยู่

 

ไต้ก๋งหนึ่งในเรือสองลำที่ไม่ได้สูญหายเล่าว่า เรือของตัวเองมีน้ำหนักเบา ไม่มีน้ำมันบรรทุก จึงจอดอยู่บริเวณริมท่าเทียบเรือฯ ส่วนอีก 3 ลำที่สูญหายบรรทุกน้ำมัน เมื่อเกิดลมพายุรุนแรงจึงถูกย้ายไปทอดสมออยู่กลางทะเล ซึ่งตัวเองไม่ทราบว่าใครเป็นผู้สั่งการ ยอมรับว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ ถ้ามีสภาพอากาศแปรปรวนเลวร้าย เรือที่มีน้ำหนักก็จะถูกสั่งให้ไปทอดสมอห่างจากท่าเทียบเรือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกระแทกกับท่าเทียบเรือเสียหาย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising