ถือเป็นอีกหนึ่งแผนกระตุ้นฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับการจับตามองจากหลายฝ่าย เพราะความไม่ลงรอยทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ในที่สุด ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พร้อมด้วยวุฒิสมาชิกจากทั้งสองพรรคก็ออกมาร่วมกันประกาศบรรลุข้อตกลงเห็นชอบข้อเสนอร่างกฎหมายโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 5.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19
โดยประธานาธิบดีประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (24 มิถุนายน) ว่า “พวกเราบรรลุข้อตกลงได้แล้ว” นับเป็นการยืนยันว่าการเจรจาระหว่างผู้นำในวุฒิสภาของทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ได้บรรลุผลสำเร็จและเป็นไปในทิศทางที่ประธานาธิบดีไบเดนต้องการ ซึ่งสำนักข่าว AP รายงานว่า ผลลัพธ์ในครั้งนี้ยังเป็นการยืนยันความสำเร็จของผู้นำสหรัฐฯ วัย 78 ปีรายนี้ ที่เคยลั่นวาจาว่าจะพยายามผลักดันให้สมาชิกจากทั้งสองพรรคทำงานร่วมกันให้จงได้
ด้านสื่อท้องถิ่นของสหรัฐฯ รายงานว่า การประกาศของประธานาธิบดีไบเดน ที่ออกมาแถลงด้านหน้าทำเนียบขาว พร้อมกลุ่มวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีขึ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า จึงถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหวังของสื่อมวลชนทุกสำนักที่ทั้งสองฝ่ายสามารถหาข้อสรุปในการเจรจาได้ หลังจากที่มีการถกเถียงยืดเยื้อมานานพอสมควร กระนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงร่างกฎหมายดังกล่าวใดๆ ออกมา
ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนได้ออกมาฉายเดี่ยวแถลงภายหลังที่ทำเนียบขาว โดยเรียกข้อตกลงครั้งนี้ว่าเป็นความพยายามจากทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง ก่อนย้ำว่าไม่มีอะไรที่สหรัฐฯ จะทำไม่ได้ เมื่อสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะลงมือทำด้วยกัน ร่วมมือกันในฐานะชาติเดียวกัน
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ทวีตข้อความระบุว่า ข้อตกลงในครั้งนี้จะสร้างงานหลายล้านตำแหน่งให้กับชาวอเมริกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้ การได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรครีพับลิกันในครั้งนี้ที่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่สูงถึง 5.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของหลายฝ่าย แต่พัฒนาการทางบวกครั้งนี้น่าจะส่งผลให้ประธานาธิบดีไบเดนสามารถเดินหน้าผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจยกชุดทั้งหมดรวมมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จในที่สุด
ร็อบ พอร์ทแมน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน หนึ่งในตัวแทนที่เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ กล่าวว่า ทางพรรคไม่ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แต่ก็เลือกทางออกที่ดีที่สุดในการประนีประนอม ซึ่งสอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีไบเดนออกมายอมรับว่า ไม่มีฝ่ายใดได้ทุกอย่างที่ตนต้องการในการบรรลุข้อตกลงดังกล่าว
นอกจากนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้คำมั่นว่ารัฐบาลจะเดินหน้าผลักดันแผนงานสำคัญที่เหลืออื่นๆ ให้ผ่านกระบวนการพิจารณางบประมาณของสภาคองเกรส หรือที่รู้จักกันว่าเป็นกระบวนการปรองดอง
ที่ผ่านมา ร่างกฎหมายยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประธานาธิบดีไบเดนถือเป็นประเด็นถกเถียงใหญ่ ที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องหาหนทางฝ่าอุปสรรคนานัปการเพื่อให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกของทั้งสองพรรคในวุฒิสภา โดยเฉพาะหนึ่งในข้อเสนอของประธานาธิบดีไบเดนที่ต้องการปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับบุคคลที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป เพื่อเก็บภาษีเพิ่มแล้วเอามาเป็นค่าใช้จ่ายให้แก่ภาครัฐในโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสวนทางกับจุดยืนของพรรครีพับลิกันที่ไม่ต้องการให้มีการปรับขึ้นภาษีใดๆ ทั้งสิ้น
สำหรับข้อตกลงเพื่อใช้จ่ายในโครงสร้างพื้นฐานนี้ครอบคลุมถึงการปรับปรุงถนน สะพาน และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคมขนส่ง เช่น การสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็ยกระดับอัปเกรดระบบบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง โรงงานไฟฟ้า สถานีจ่ายพลังงาน และระบบท่อส่งน้ำประปาทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไบเดนเสริมว่า แผนการดังกล่าวของตนยังมุ่งจัดสรรงบอีกหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของมนุษย์ (Human Infrastructure) เช่น การแก้ไขภาวะโรคร้อน ระบบประกันสุขภาพ และระบบสวัสดิการดูแลเด็ก ควบคู่กันไปด้วย
ในส่วนของภาคเอกชนต่างปรบมือชื่นชมความสำเร็จของการบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ เพราะไม่เพียงหมายถึงโอกาสในการปรับปรุงพลิกโฉมระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดทั่วประเทศให้ทันสมัยอีกครั้ง แต่ยังเป็นโครงการก่อสร้างภาครัฐระยะยาวที่จะมีเม็ดเงินไหลเข้าบริษัทเอกชนหลายแห่ง โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและเครื่องจักร
ก่อนหน้านี้ ผลการสำรวจวิจัยของสมาคมวิศวกรโยธาสหรัฐฯ (The American Society of Civil Engineers) ระบุชัดว่า คะแนนประสิทธิภาพถนนทั่วประเทศในสหรัฐฯ อยู่ระดับย่ำแย่ และมากถึง 40% ที่เลวร้ายขั้นสุดและขาดการซ่อมบำรุงมานานมากแล้ว ดังนั้น การถือโอกาสกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการยกเครื่องโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั่วประเทศ จึงถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะดันให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโตได้อย่างมั่นคง
ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า แม้จะยังไม่มีรายละเอียด แต่อย่างน้อยในมุมมองของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เกิดแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ และทำให้เกิดผลผลิตตามมาในอีกหลายปีข้างหน้านับจากนี้ โดยจะเป็นผลประโยชน์ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสำหรับบริษัทเอกชนทั้งหลายในระยะยาว โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ๆ จะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ด้านทีมนักวิเคราะห์ของ Citi ระบุว่า Caterpillar ผู้ผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ก่อสร้าง จะได้รับอานิสงส์จากข้อเสนอของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนในครั้งนี้มากที่สุด กระนั้น โครงการก่อสร้างยิบย่อยอื่นๆ ที่ตามมา ก็จะช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ ตลอดจนส่งถึงคำสั่งซื้อสินค้าและอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถเครน รถขุด ผู้ผลิตสินค้าอุปกรณ์ก่อสร้าง ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ สี หรือวัสดุเคลือบอื่นๆ
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: