ครั้งหนึ่ง ชูเอา เฟลิกซ์ คือชื่อนักเตะดาวรุ่งที่ทุกทีมในโลกอยากได้ตัวไปร่วมทีม แต่ชีวิตของเขาเองก็เป็นหนึ่งในบทเรียนที่เหล่าดวงดาวแห่งอนาคตต้องถอดรหัสให้ดี ว่าการตัดสินใจผิดนั้นอาจส่งผลต่ออนาคตในการเล่นได้มากแค่ไหน
ในขณะที่ คริสเตียโน โรนัลโด อดทนรอให้ จอร์จ เมนเดส หาสโมสรแห่งใหม่ที่ต้องใหญ่ขึ้นกว่าสปอร์ติง ลิสบอน เกณฑ์ในการพิจารณาที่สำคัญคือสโมสรแห่งนั้นต้องเหมาะสมกับสไตล์การเล่น และที่สำคัญคือต้องการันตีโอกาสในการลงสนามให้ได้ สิ่งที่เฟลิกซ์ ในฐานะเพชรเม็ดงามดวงใหม่ที่ถูกคาดหวังว่าจะก้าวขึ้นมาแทนที่ของ CR7 ทำคือการเลือกย้ายไปผิดที่
ท่ามกลางสโมสรมากมายที่ให้ความสนใจ การที่เฟลิกซ์ยอมรับข้อเสนอในการย้ายไปร่วมทีมแอตเลติโก มาดริด ซึ่งยินดีจ่ายเงินค่ายกเลิกสัญญามูลค่ากว่า 126 ล้านยูโรให้แก่เบนฟิกา ทำให้อนาคตของเขาถูกตั้งคำถามมาโดยตลอดตั้งแต่แรก
เหตุผลเพราะด้วยสไตล์การเล่นของเขากับสไตล์ของทีม ‘ตราหมี’ นั้นดูจะไม่เข้าทีนัก และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อช่วงเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา เฟลิกซ์ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ทุกคนคาดหวังจากเขาได้
จากนักเตะดาวรุ่งที่ทำได้ถึง 20 ประตูในฤดูกาล 2018/19 กับเบนฟิกา เขาทำได้แค่ 33 ประตู จากการลงสนามถึง 129 นัดให้กับแอตเลติโก มาดริด
แย่กว่านั้นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ ดิเอโก ซิเมโอเน โค้ชของทีมดูจะแย่ลงทุกวันในระดับที่ กิล มาริน ซีอีโอของสโมสรยอมรับว่าคงจำเป็นที่จะต้องหาทางปล่อยตัวเฟลิกซ์ออกไป
“เขาคือการเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเรา โดยส่วนตัวผมคิดว่าเขาเป็นนักเตะพรสวรรค์สูงสุด เป็นผู้เล่นในระดับโลก
“ถ้าถามส่วนตัวผมก็อยากให้เขาอยู่ต่อ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะคิดแบบนั้น”
และดูเหมือนทางออกของเรื่องนี้จะมาถึงแล้ว โดยเป็นเชลซีที่มีรายงานข่าวว่าสามารถบรรลุข้อตกลงด้วยวาจาในเบื้องต้นกับทางแอตเลติโก มาดริด ได้แล้วในสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลด้วยการจ่ายค่ายืมตัวเป็นจำนวน 11 ล้านยูโร
ว่าแต่นี่คือการย้ายทีมที่ดีสำหรับทุกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่?
อนาคตของเฟลิกซ์ในทีมแอตเลติโก มาดริด มืดมนมาโดยตลอด
ทำไมถึงเป็นเชลซี?
ความจริงแล้วเชลซีไม่ได้อยู่ในกระแสข่าวกับเฟลิกซ์มาก่อนเลย เพราะสองทีมที่มีข่าวพัวพันด้วยก่อนหน้านี้คือ สองทีมที่กำลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอาร์เซนอล
แต่ที่สุดแล้วเมื่อไม่มีความเคลื่อนไหวจากทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทำให้เป็นโอกาสของเชลซี ซึ่งกำลังประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำอย่างหนัก รวมถึงปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นร่วมครึ่งทีมที่แซวกันว่า ทีมที่เจ็บของเชลซีนั้นดีกว่าทีมที่ลงสนามในเวลานี้ด้วยซ้ำไป
เชลซีซึ่งแทบไม่ปรากฏในข่าวมาก่อนได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอยืมตัวมาใช้งานจนจบฤดูกาลนี้อย่างจริงจัง และสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
เดิมแอตเลติโก มาดริด ต้องการค่ายืมตัวของเฟลิกซ์ในแพ็กเกจ 21 ล้านยูโร โดยแบ่งเป็นค่ายืม 15 ล้านยูโร และอีก 6 ล้านยูโรสำหรับการจ่ายเงินค่าเหนื่อย แต่ที่สุดแล้วดูเหมือนจะตกลงกับทีมจากลอนดอนได้ในราคาที่ต่ำลงเกือบครึ่ง
เกรแฮม พอตเตอร์ ความดันขึ้นแทบทุกนัด
ผู้กอบกู้เชลซี (และ เกรแฮม พอตเตอร์)
นอกจากตกรอบเอฟเอคัพเป็นที่เรียบร้อยแบบหมดสภาพ เชลซียังอยู่ในอันดับที่ 10 ของพรีเมียร์ลีกเวลานี้ ซึ่งตามการคำนวณของสำนักสถิติ FiveThirtyEight ระบุว่า ทีมมหาเศรษฐีลอนดอนมีโอกาสที่จะจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อป 4 แค่ 9% เท่านั้น
ขณะที่อันดับที่คาดว่าเชลซีจะได้เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลอยู่ในอันดับที่ 8 โดยมี 59 คะแนน
เรื่องนี้เมื่อดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้เกินเลยไปจากความจริงนัก เมื่อผลงานของเชลซีมีแต่แย่ลงทุกวันนับตั้งแต่ที่มีการปลด โธมัส ทูเคิล พ้นจากตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายน และดึงตัว เกรแฮม พอตเตอร์ ผู้จัดการทีมฝีมือดี อนาคตไกล มาจากไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน
3 นัดแรกพอตเตอร์พาทีมชนะรวดในลีก แต่ 8 นัดหลังจากนั้นพวกเขาชนะแค่เกมเดียว ซึ่งแม้ส่วนหนึ่งจะมาจากปัญหาในเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นตัวหลักที่หายหน้าไปแทบยกทีม จนหลายคนก็เห็นใจกุนซือคนใหม่
แต่ในเวลาเดียวกันแฟนๆ ก็เริ่มไม่เชื่อมือของคนที่เคยทำแต่ทีมเล็กอย่างพอตเตอร์ โดยชี้ให้เห็นว่า นักเตะในทีม ‘ไม่เก็ต’ กับแนวทางการเล่นและไม่ตอบสนองต่อคำสั่ง ทำให้เชลซีกลายเป็นทีมที่เล่นไปวันๆ โดยไม่มีแพสชันในการลงสนาม ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ไม่นับตัวที่ถูกดึงมาแล้วอย่าง เดวิด ดาโทร โฟฟานา กองหน้าจากโมลด์ และ เบอนัวต์ บาเดียชิล ในช่วงที่ผ่านมาเชลซีมีข่าวกับ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ กองกลางดาวรุ่งทีมชาติอาร์เจนตินาจากเบนฟิกา แต่ดูเหมือนการเจรจาจะล่มลงไปเป็นที่เรียบร้อย (เอ็นโซเพิ่งกลับมาลงเล่นให้ทีมและทำประตูได้ โดยฉลองประตูด้วยการบอกเป็นนัยว่าจะอยู่กับทีมต่อไป) ส่วนอีกรายคือ มิไคโล มูดริก ตัวรุกอนาคตไกลของชัคเตอร์ โดเนตสก์ แต่กระแสข่าวก็เงียบหายไปเช่นกัน
กลายเป็นเฟลิกซ์ที่กลายเป็นทางเลือกใหม่ ที่หากย้ายมาจริงย่อมมาพร้อมกับความคาดหวังว่าจะช่วยกอบกู้ทีมที่กำลังพังทลายอย่างเชลซีได้ไหวไหม
แนวรุกของเชลซีเจอปัญหาที่ไม่เหมือนในฤดูกาลที่แล้ว
เกาไม่ถูกที่คัน?
สิ่งที่น่าสนใจคือปัญหาของเชลซีอยู่ที่แนวรุกจริงหรือไม่?
เรื่องนี้คนที่ให้ความเห็นน่าสนใจคือ โทนี คาสคาริโน อดีตหัวหอกทีมชาติไอร์แลนด์ และอดีตประธานสโมสรซันเดอร์แลนด์ ที่เขียนบทวิเคราะห์ลงใน The Times ว่า ปัญหาของเชลซีนั้นอาจจะแก้ไม่ได้ด้วยการดึงตัวเฟลิกซ์เข้ามาคนเดียว
คาสคาริโนชี้ให้เห็นว่า ในฤดูกาลที่แล้วเชลซีเป็นทีมที่โยนโอกาสทิ้งขว้างมากมายก็จริง ซึ่งภาพจำที่ทุกคนยังไม่ลืมคือการทิ้งขว้างโอกาสของ โรเมลู ลูกากู และ ติโม แวร์เนอร์ เพียงแต่ในฤดูกาลนี้ปัญหาของพวกเขาหนักกว่านั้น เพราะกองหน้าที่มีในทีมอย่าง ไค ฮาเวิร์ตซ์, ราฮีม สเตอร์ลิง, ฮาคิม ซิเยค, คริสเตียน พูลิซิช ไปจนถึง ปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง แทบไม่ได้รับการสนับสนุนในแบบนั้น
ปัญหาของเชลซีที่เกิดขึ้นคือ การลำเลียงบอลขึ้นหน้าและสร้างโอกาสที่ดีในกรอบเขตโทษไม่ได้ นักเตะตัวรุกของเชลซีดันต้องมาโฟกัสกับการทำหน้าที่ในเกมรับ ในขณะที่นักเตะตัวรับกลับพยายามเล่นเหมือนกองหน้าด้วยการดันตัวเองขึ้นมาหน้าและพยายามเก็บบอลเอาไว้กับตัวมากเกินไป
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การครองบอลที่นานเกินไป ใช้เวลามากเกินไปในการเปลี่ยนจากจังหวะเกมรับเป็นเกมรุก และเมื่อบอลมาถึงข้างหน้าก็ไม่มีการสนับสนุนที่ดีมากพอ
คาสคาริโนเองก็มองเหมือนทุกคนว่า เฟลิกซ์เป็นนักเตะที่ดี มีความสร้างสรรค์ ฉลาดในการเล่น แต่เขาไม่ใช่กองหน้าในแบบ ‘หมายเลข 9 แบบคลาสสิก’ ที่จะผลิตสกอร์ให้เป็นกอบเป็นกำได้ เพราะนักเตะคนนี้จริงๆ แล้วถนัดในบท ‘หมายเลข 10’ เหมือนกับ ริคาร์โด กากา ฮีโร่ในดวงใจของเขามากกว่า
เฟลิกซ์เองก็ต้องการทีมที่เชื่อใจเขาเช่นกัน
อัจฉริยะผู้ต้องการใครสักคนที่เชื่อใจ
อย่างไรก็ดี สำหรับ เกรแฮม พอตเตอร์ กองหน้าแบบเฟลิกซ์นั้นอาจเป็นกองหน้าที่ ‘ตอบโจทย์’ อยู่เหมือนกัน
เพราะในทีมไบรท์ตันเขามีนักเตะที่มีไหวพริบดีที่เป็นคีย์แมนอย่าง เลอันโดร ทรอสซาด์ ซึ่งสามารถปรับตัวเข้ากับบทบาทในทีมได้หลากหลายตำแหน่ง ซึ่งสตาร์ทีมชาติโปรตุเกสที่เล่นได้ดีในช่วงฟุตบอลโลก 2022 ที่ผ่านมา ก็ทำได้เช่นกัน
จะยืนเป็นหน้าเป้าเลย หน้าต่ำ หรือจะขยับไปยืนริมเส้นก็ได้ ขอแค่อย่าจำกัดการเล่นด้วยแท็กติกในแบบเดียวกับที่ซิเมโอเนตีกรอบใส่เขาก็พอ
เฟลิกซ์เมื่อครั้งแจ้งเกิดนั้นเขาถูกมองในฐานะนักเตะอัจฉริยะของวงการ ที่นอกจากจะมีความสามารถในการเป็น ‘เพลย์เมกเกอร์’ ที่สามารถสร้างสรรค์เกมได้ด้วยตัวเองด้วยเซนส์การเล่นที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเจ้าตัวพยายามวาดตัวเองขึ้นจากกระดาษลอกลายที่มีกากาเป็นต้นแบบ
การจบสกอร์ของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ความเลือดเย็น ความนิ่ง ไปจนถึงลูกทีเด็ดอย่างฟรีคิกก็มีติดตัว
เพียงแต่เมื่อต้องมาอยู่ใต้อาณัติของซิเมโอเน การจะเล่นอย่างอิสระเหมือนเดิมเป็นไปไม่ได้ และนั่นทำให้เขาเจ็บปวด
หากการย้ายทีมมาลอนดอนสำเร็จตามความคาดหมาย นี่จะเป็นการ ‘พักใจ’ ของเฟลิกซ์เองที่ต้องการจะเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้หมายความว่าจะย้ายมาอยู่กับเชลซีเป็นการถาวร เพราะแอตเลติโก มาดริด ก็วาดหวังว่าจะต่อสัญญากับเขาออกไปถึงปี 2027
โดยจุดเปลี่ยนสำคัญอาจเกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ที่มีกระแสข่าวว่า ซิเมโอเนจะอำลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งก็จะพอดีกับที่เฟลิกซ์ได้กลับไปในถิ่นตราหมีอีกครั้ง และพอดีกับเชลซีที่จะได้ต้อนรับ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู กองหน้าจากไลป์ซิกที่เป็นอนาคตตัวจริงของสโมสร
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือความมั่นใจที่ต้องมีให้ระหว่างกัน
จากเชลซีถึงเขา และจากเขาถึงเชลซี
สถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างยาก แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะออกมาดีไม่ได้
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/joao-felix-goal-shy-chelsea-need-a-classic-no9-not-another-technician-d0fzpwczz
- https://theathletic.com/4071636/2023/01/10/chelsea-might-need-further-intervention-but-that-could-cost-them-later/
- https://theathletic.com/4072188/2023/01/09/chelsea-transfer-news-joao-felix/
- https://theathletic.com/3978306/2022/12/07/atletico-madrid-joao-felix-transfer/